tag:blogger.com,1999:blog-16647387002184564562024-02-18T18:59:39.027-08:00kingkarnkingkarnhttp://www.blogger.com/profile/02181022164952748128noreply@blogger.comBlogger11125tag:blogger.com,1999:blog-1664738700218456456.post-7147622074277948392010-11-20T03:27:00.000-08:002010-11-20T04:36:28.502-08:00ประเพณีลอยกระทง"สวัสดีค่ะ" ดิฉันกลุ่ม K2J มีสมาชิกกลุ่มดังนี้<br /> ด.ญ.ชมพูนุช แซ่ซัง , น.ส.กิ่งกาญจน์ ทัดเที่ยง ,และดิฉัน ด.ญ.กรกนก โล่ห์ประเสริฐ <br /> กลุ่มของดิฉันได้มาถ่ายทำและนำเสนอประวัติความเป็นมา ความเชื่อ วัสดุอุปกรณ์และวิธีการทำกระทง<br /><br />ชมพูนุช : ประวัติความเป็นมาของประเพณีลอยกระทง ประเพณีลอยกระทงจัดขึ้นเพื่อเป็นขอขมาต่อแม่พระคงคา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 อยู่ในเดือนพฤศจิกายน ประเพณีนี้ได้สืบต่อกันมานานตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหง เรียกประเพณีลอยกระทงว่า "พิธีจองเปรียญ" หรือ "การลอยพระประทีป" <br /><br />กรกนก : ความเชื่อของประเพณีลอยกระทง เชื่อกันว่าเป็นการขอขมาพระแม่คงคาที่คนเราได้ใช้น้ำ ในการอุปโภคและบริโภค<br /><br />ชมพูนุช : วัสดุอุปกรณ์และวิธีการทำกระทง <br /> วัสดุอุปกรณ์ : 1.ท่อนกล้วย 2.ใบตอง 3.เข็ม ด้าย 4.ดอกไม้ 5.ธูปเทียน ฯลฯ<br /> วิธีทำ : 1. ตัดใบตองขนาดความกว้าง 1.5 นิ้ว ยาว 6 นิ้ว โดยประมาณ<br /> 2. พับใบตองตามรูปที่ต้องการ จากนั้นนำมาวางซ้อนแล้วเย็บให้สวยงาม<br /> 3. นำไปติดรอบฐานท่อนกล้วย <br /> 4.จากนั้นประดับด้วยดอกไม้ตามความชอบ และปักธูปเทียนลงไป <br /><br />วันที่ถ่ายทำ : วันอาทิตย์ ที่ 21 เดือนพฤษจิกายน พ.ศ. 2553<br />สถานที่ : ณ งานวันลอยกระทงkingkarnhttp://www.blogger.com/profile/02181022164952748128noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1664738700218456456.post-73947906022296475282010-11-16T19:09:00.000-08:002010-11-16T19:19:07.618-08:00ประเพณีลอยกระทงวันลอยกระทง เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทย ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย ตามปฏิทินจันทรคติล้านนา "มักจะ" ตกอยู่ในราวเดือนพฤศจิกายน ตามปฏิทินสุริยคติ ประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก สำหรับประเทศไทยประเพณีลอยกระทงได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไป<br />ในวันลอยกระทง ผู้คนจะพากันทำ "กระทง" จากวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตบแต่งเป็นรูปคล้ายดอกบัวบาน ปักธูปเทียน และนิยมตัดเล็บ เส้นผม หรือใส่เหรียญกษาปณ์ลงไปในกระทง แล้วนำไปลอยในสายน้ำ (ในพื้นที่ติดทะเล ก็นิยมลอยกระทงริมฝั่งทะเล) เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการลอยกระทง เป็นการบูชาพระแม่คงคาด้วย<br /><br />เดิมเชื่อกันว่าประเพณีลอยกระทงเริ่มมีมาแต่สมัยสุโขทัย ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง โดยมีนางนพมาศหรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ เป็นผู้ประดิษฐ์กระทงขึ้นครั้งแรก โดยแต่เดิมเรียกว่าพิธีจองเปรียง ที่ลอยเทียนประทีป และนางนพมาศได้นำดอกโคทม ซึ่งเป็นดอกบัวที่บานเฉพาะวันเพ็ญเดือนสิบสองมาใช้ใส่เทียนประทีป[ต้องการอ้างอิง] แต่ปัจจุบันมีหลักฐานว่าไม่น่าจะเก่ากว่าสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยอ้างอิงหลักฐานจากภาพจิตรกรรมการสร้างกระทงแบบต่างๆ ในสมัยรัชกาลที่ 3<br /><br />ปัจจุบันวันลอยกระทงเป็นเทศกาลที่สำคัญของไทย ที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศมาเที่ยวปีละมากๆ ทั้งนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวมักจะเป็นช่วงต้นฤดูหนาว และมีอากาศดี ในวันลอยกระทง ยังนิยมจัดประกวดนางงาม เรียกว่า "นางนพมาศ"และ:"นายนพมาศ"<br /><br />ความเป็นมา<br /> ประเพณีลอยกระทง เป็นประเพณีโบราณของไทย แต่ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าทำกันมาตั้งแต่เมื่อไร เท่าที่ปรากฏ กล่าวได้ว่ามีมาตั้งแต่สุโขทัยเป็นราชธานี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสันนิษฐาน ว่า เดิมทีเดียวเห็นจะเป็นพิธีของพราหมณ์ กระทำเพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้าทั้งสาม คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ต่อมาได้ถือตามแนวทางพระพุทธศาสนา มีการชักโคมเพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุพระจุฬามณีในชั้นดาวดึงส์ และลอยโคมเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท ซึ่งประดิษฐาน ณ หาดทรายแม่น้ำนัมมทา ในสมัยสุโขทัย นางนพมาศพระสนมของพระร่วงได้คิดทำกระทงถวายเป็นรูปดอกบัวและรูปต่างๆให้ทรงลอยตามสายน้ำไหล<br /><br /><br /><br /><br /><br />สถานที่ถ่ายทำคือ นิทรรศการวันลอยกระทง<br />วันที่ถ่ายทำ วันอาทิตย์ ที่ 21 เดือน พฤษจิกายน พ.ศ.2553<br />นำเสนอโดย<br />น.ส.กิ่งกาญจน์ ทัดเที่ยง ม.3/2 เลขที่ 22 ผู้ถ่าย<br />ด.ญ.กรกนก โล่ห์เสริฐ ม.3/2 เลขที่ 10 ผู้นำเสนอ<br />ด.ญ.ชมพูนุช แซ่ซัง ม.3/2 เลขที่ 17 ผู้นำเสนอ<br />และเพื่อนๆต่างโรงเรียนkingkarnhttp://www.blogger.com/profile/02181022164952748128noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1664738700218456456.post-34959251390136533982010-06-06T23:36:00.000-07:002010-06-06T23:39:08.949-07:00การเรียนพยาบาลในอเมริกา<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgFzdQBq9Yl8k2y5FEc-r_0PZ19uQG9b-G0_YookKQAP_oFaK3Bdvu-Q30AmTt2ySgQEdqv8r6QmzmNv4SUve7KnR396jT7pZ2abZJT35PaD9eslV6OyIDs-aMYYpWJO9-X6kvIrMzpiwXi/s1600/DisplayImage.bmp"><img style="float:left; margin:0 10px 10px 0;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 214px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgFzdQBq9Yl8k2y5FEc-r_0PZ19uQG9b-G0_YookKQAP_oFaK3Bdvu-Q30AmTt2ySgQEdqv8r6QmzmNv4SUve7KnR396jT7pZ2abZJT35PaD9eslV6OyIDs-aMYYpWJO9-X6kvIrMzpiwXi/s320/DisplayImage.bmp" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5479917385948951138" /></a><br />อาชีพ “พยาบาล” (Registered Nurse) เป็นอาชีพที่ขาดแคลนและอยู่ในความต้องการสูงมาตลอด 30 ปีและจะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกอย่างน้อย 20 ปี ดังนั้นการเรียนพยาบาลเป็นอีกวิชาชีพที่น่าสนใจ<br /> <br />Career in Healthcare การจะเรียนพยาบาลนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิดแต่ก็ไม่ยากเกินกว่าความพยายามแน่นอน...แต่ก่อนจะตัดสินใจเรียนคำถามแรกที่ควรถามตัวเองก็คือ:<br />- “รัก” ที่จะทำงานทางด้านนี้หรือเปล่า? (อันนี้สำคัญที่สุด)<br />- ยังมี “ไฟ” ที่จะเรียนอยู่หรือเปล่า?<br />- พื้นฐานภาษาอังกฤษอยู่ในระดับไหน? <br />- มีเวลาให้กับการเรียนหรือไม่?<br />- มีภาระอื่นๆ ในครอบครัว เช่น มีลูกเล็กๆ หรือไม่? เป็นต้น<br /><br />การเรียนพยาบาลนั้นต้องเริ่มต้นจากการเป็น pre-nursing student ก่อนและต้องเรียนวิชาพื้นฐานอย่างน้อย 2 ปี...ภาษาอังกฤษเป็นสิ่งสำคัญมากต้องพูด, เขียน, ฟัง, และอ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ และต้องมีเวลาให้กับการอ่านตำรานอกห้องเรียนหรือการทำ lab write up หรือ presentation ต่างๆ อีกด้วย..<br /><br />ในสายงาน Nursing Service นั้นก็มีงานหลากหลายตำแหน่ง สำหรับพยาบาลก็แบ่งออกเป็นระดับต่างๆ ดังนี้:<br /><br />Certified Nurse Aide (CNA) – ทำงานภายใต้การดูแลของพยาบาล RN และพยาบาล LVN, ผ่านการอบรม basic patient care, และต้องสอบ state licensing examination การเรียน CNA นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นหลักสูตรสั้นๆ ประมาณ 6 อาทิตย์ สามารถสมัครเรียนได้ตามโรงเรียนที่เปิดให้บริการด้าน care giver หรือ adult schools ทั้งนี้ผู้สมัครเรียน CNA จะต้องทดสอบภาษาอังกฤษก่อน สำหรับที่แคลิฟอร์เนียนั้นจะต้องสอบ state licensing examination ก่อนถึงจะทำงานได้ <br /><br />ค่าใช้จ่ายในการเรีัยน CNA นั้นประมาณ $1,000 (รวมค่า tuition, ค่าประกัน, และค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น uniform, textbook เป็นต้น) ส่วนค่าตอบแทนนั้นแต่ละรัฐจะมีอัตราต่างกันและขึ้นอยู่กับโรงพยาบาลด้วย ที่ CA จ่ายชม.ละ $ 10-12 (บางแห่งจ่ายถึงชม.ละ $18 ก็มีค่ะ)...<br /><br />Licensed Practical/Vocational Nurse (LPN หรือ LVN) – ทำงานภายใต้การดูแลของแพทย์และพยาบาล RN, ผ่านการอบรม basic nursing techniques, และสอบผ่าน national licensing examination<br /><br />การเรียน LVN นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นหลักสูตร 18 เดือน ไม่นับรวมเวลาที่ต้องเรียนวิชาพื้นฐานซึ่งได้แก่: <br />- Introduction to Anatomy and Physiology<br />- Mathematics for Health Sciences<br />- Computer Literacy<br />- Integrated Reading, Writing, and Critical Thinking<br />- Introduction to Nutrition<br />- Medical Terminology<br /><br />ค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียน LVN นั้น ถ้าเป็นโรงเรียนเอกชนหลักสูตรหนึ่งประมาณ $10,000 ถ้าเป็น Community College ก็ขึ้นอยู่กับหน่วยกิตที่จะต้องลงทะเบียนเรียนตลอดหลักสูตร (ไม่รวมวิชาพื้นฐาน) ไม่เกิน $1,500 ที่ CA หากเป็น residence และลงเรียนใน Community College จ่ายหน่วยกิตละ $26 ถ้าเป็นนักเรียนต่างชาติหน่วยกิตละ $187 อย่างไรก็ตามยังไม่รวมค่า textbook (แพงมาก) ส่วนเมื่อเรียนจบแล้วค่าตอบแทนนั้นที่ CA ประมาณชั่วโมงละ $20 ขึ้นไป<br /><br />อย่างไรก็ตามหากเรียนจบ LVN และมีประสบการณ์การทำงานอย่างน้อย 1 ปีและเรียนวิชาพื้นฐานครบตาม requirement ก็สามารถสมัครเข้าเรียน RN ได้และใช้เวลาเรียนประมาณ 1 ปี<br /><br />Registered Nurse (RN, BSN, MSN) – พยาบาล RN ที่จบการศึกษาระดับ Associate’s Degree (RN), ปริญญาตรี Registered Nurse (BSN), หรือปริญญาโท Registered Nurse (MSN), และสอบผ่าน national licensing examination<br /><br />การเรียน Registered Nurse ในระดับ Associate’s Degree นั้นเป็นหลักสูตร 2 ปี ไม่นับรวมเวลาที่ต้องเรียนวิชาพื้นฐานและต้องได้เกรดเฉลี่ยของวิชาพื้นฐานตามที่กำหนด ซึ่งได้แก่: <br />- College Composition (มีวิชาพื้นฐานอย่างน้อย 2 วิชา)<br />- Math for Health Sciences<br />- Human Anatomy<br />- Human Physiology<br />- Introduction to Microbiology<br />- General Psychology<br />- Child Development <br />- และ Pharmacy เป็นต้น<br /><br />ค่าใช้จ่ายสำหรับหลักสูตร RN (Associate’s Degree) ถ้าเป็นโรงเรียนเอกชนประมาณ $18,000-$20,000 แต่ถ้าเป็น Community College (ไม่รวมวิชาพื้นฐานและ General Education) ประมาณ $2,100 สำหรับ residence หากจบมาแล้วได้ค่าตอบแทนประมาณ $30-40 ต่อชม. ขึ้นอยู่กับรัฐและโรงพยาบาล สำหรับนักเรียนต่างชาติ บางโรงพยาบาลอาจจะ offer “Green Card” ให้ด้วย<br /><br />การเรียนหลักสูตร RN (Associate’s Degree) นั้น ไม่ได้เรียนเฉพาะวิชาพยาบาลเท่านั้น นักเรียนพบาบาลทุกคนจะต้องเรียนวิชา่บังคับหรือที่เรียกว่า General Education เช่น Political Science, History, Philosophy, PE, Humanity และอื่นๆอีกมากมาย<br /><br />หมายเหตุ: วิชาพื้่นฐานของ RN และ LVN อาจจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับหลักสูตรของแต่ละสถาบันการศึกษา นอกจากนี้นักเรียนพยาบาลทุกคนจะต้องผ่านการอบรม CPR และได้รับบัตรรับรองว่าเป็นผู้ผ่านการอบรมจาก American Heart Association ด้วย<br /><br />การเรียน Registered Nurse ในระดับ BSN เป็นหลักสูตร 3 ปี ไม่นับรวมเวลาที่ต้องเรียนวิชาพื้นฐานและต้องได้เกรดเฉลี่ยของวิชาพื้นฐานตามที่กำหนด ซึ่งเพิ่มเติมจาก RN ในระดับ AS Degree อีกอย่างน้อย 3 วิชา คือ:<br />- Oral Communication<br />- Philosophy: Critical Thinking<br />- Chemistry<br /><br />ค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียน BSN นั้นขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัย แต่ส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็น residence จ่ายแค่ 17% ของค่าเล่าเรียนทั้งหมด (ประมาณ $900++ ต่อ semester) และบางหลักสูตร เช่น ที่ California State University East Bay นั้นทางโรงพยาบาล John Muir เป็น sponsor ให้กับนักเรียนพยาบาลทุกคน (เท่ากับเรียนฟรีเลย แถมจบมาได้ทำงานที่ John Muir อีก)...จบมาค่าตอบแทนก็สูงกว่า RN (Associate’s Degree)<br /><br />การเรียน Registered Nurse ในระดับ MSN เป็นหลักสูตรปริญญาโท 2 ปีมี 2 ประเภทคือ สำหรับพยาบาลที่จบ BSN และสำหรับคนที่จบปริญญาตรีสาขาอื่นๆ แต่จะเปลี่ยนสายงานมาเป็นพยาบาล เป็นหลักสูตร 2 ปี สำหรับพยาบาลที่จบ BSN ต้องได้เกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.0 จึงจะเข้าเรียนได้ ส่วนคนที่จบสาขาอื่นมาจะต้องไปเรียนวิชาพื้นฐานได้แก่:<br />- Human Anatomy<br />- Human Physiology<br />- Microbiology<br />- Computer Literacy<br />- Statistic <br /><br />บางแห่ง เช่น UCSF ไม่รับนักเรียนต่างชาติ ยกเว้นเป็นนักเรียนที่ถือ Green Card หรือเป็น immigrant แต่จะต้องสอบ TOEFL และ GRE ด้วย ค่าใช้จ่ายตลอดหลักสูตรไม่ต่ำกว่า $20,000 ต่อปี (ไม่รวมวิชาพื้นฐาน) ส่วนใหญ่คนที่จบปริญญาโทพยาบาลมักจะเบนเข็มมาเป็นอาจารย์สอนนักเรียนพยาบาล ดังนั้นค่าตอบแทนอาจจะน้อยกว่าพยาบาล RN และ BSN (ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันค่ะ)<br /><br />หากสนใจอยากเรียนวิชาชีพพยาบาลในอเมริกา ควรเริ่มต้นจาก:<br />- หาข้อมูลหลักสูตรต่างๆ ที่สนใจใน “เขต” (County) ที่อยู่ว่ามีเปิดกี่แห่ง ที่ไหนบ้าง? – ควรเรียนใกล้บ้านเพราะอาจจะมีผลในเรื่องของการ commute และ selection criteria<br />- ติดต่อขอคำปรึกษาจาก counselor ของโรงเรียนนั้นๆ สอบถามข้อมูลเชิงลึกให้ได้มากที่สุดก่อนตัดสินใจ<br />- สอบถามวิธีคัดเลือก (selection criteria) เข้าเรียนในหลักสูตรพยาบาลของโรงเรียนนั้นๆ <br />- สอบถามเรื่องวิชาพื้นฐานที่ต้องเรียนทั้งหมด (บางครั้งอาจจะมีวิชาพื้นฐานของวิชาพื้นฐานด้วย) <br />- นำข้อมูลที่ได้มาเปรียบเทียบดูความแตกต่างของหลักสูตรของแต่ละโรงเรียนทั้งในเรื่องของระยะเวลาในการเรียน, วิชาพื้นฐาน, ระยะเวลาในการเรียนตลอดหลักสูตร (รวมเวลาที่ต้องเรียนวิชาพื้นฐาน) ตลอดจนค่าใช้จ่ายต่างๆ<br /><br />ข้อควรพิจารณา:<br />- การสมัครเข้าเรียนหลักสูตรพยาบาลนั้น โดยทั่วไปนักเรียนทุกคนจะต้องผ่าน Assessment Test เพื่อดูว่าพื้นฐานความรู้ด้านภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์อยู่ตรงไหน ก็จะต้องไปเริ่มต้นจากตรงนั้น คือ ถ้าคะแนน AT ออกมาสูงก็สามารถเข้าไปเรียนวิชาพื้นฐานได้เลย แต่ถ้าได้คะแนนต่ำกว่าที่กำหนดอาจจะต้องไปเรียนไต่ระดับขึ้นมา (มากน้อยแล้วแต่ความรู้ความสามารถของแต่ละบุคคล)<br /><br />- โดยทั่วไปมักจะอนุโลมให้นักเรียนสามารถ transfer วิชาพื้นฐานได้หากเรียนมาไม่เกิน 5 ปี แต่ทางที่ดี “ควรจะ” เรียนใหม่จะดีที่สุด เพราะว่าการ transfer นั้นจะต้องเอา transcript ไปประเมินซึ่งเกรดที่ประเมินอาจจะต่ำกว่าเกรดที่ได้ใน transcript และบางแห่ง “เน้น” ให้ pre-nursing student ลงทะเบียนเรียนวิชา science ที่โรงเรียนนั้นๆ <br /><br />- วิธีการคัดเลือกก็เป็นอีกข้อหนึ่งที่ควรพิจารณา ถึงแม้ว่าอาชีพพยาบาลจะเป็นอาชีพขาดแคลน แต่การผลิตพยาบาลออกสู่ตลาดนั้นแต่ละหลักสูตรค่อนข้างจะ “จำกัด” จำนวนนักเรียนมากๆ เช่น ที่ LMC รับนักเรียนได้ปีละ 40 คน (จากใบสมัคร 700 คน) การคัดเลือกนักเรียนเข้าเรียนในหลักสูตรนั้นแต่ละสถาบันก็จะมีวิธีการที่แตกต่างกันไป เช่น ดูจากเกรดเฉลี่ย, การให้คะแนนจากผลการเรียน + ประสบการณ์ + ความรู้ด้านภาษาที่ 2, การคัดเลือกจากคนในพื้นที่, หรือใช้วิธี random เป็นต้น<br /><br />- ควรวางแผนการเรียนไว้อย่างน้อย 2 แผน หากผิดแผนแรกคือ เข้าเรียนที่นี่ไม่ได้ก็ไปเดินอีกทางหนึ่ง <br /><br />- ควร update ข้อมูลต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ ด้วยการพบ counselor อย่างน้อยเทอมละ 1 ครั้ง และแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเพื่อนๆ ตลอดเวลา การสร้าง network กับคนในสายงานหรือเรียนสายเดียวกันจะทำให้ update ข้อมูลได้เป็นอย่างดี<br /><br />หากตัดสินใจที่จะเรียนวิชาชีพพยาบาลต้องยอมรับสภาพว่าต่อไปนี้ชีวิตจะไม่เหมือนเดิมแล้วเวลาที่มีจะต้องทุ่มเทให้กับการเรียนและจะต้องเรียนหนักมากๆ (หนังสือก็หนักด้วย) เพราะหากได้คะแนนต่ำกว่าที่เขากำหนด ก็หมดสิทธิ์เรียนต่อทันที...แบบ “แพ้คัดออก”...ไม่มี retake พูดง่ายๆ ได้ใจความคือ “เข้ายาก ออกง่าย” <br /><br />ถ้าอ่านมาจนถึงตรงนี้แล้วยังอยากเรียนพยาบาลอยู่นะคะ...ก็เริ่มหาข้อมูลเชิงลึกได้เลยค่ะ แต่ถ้าเปลี่ยนใจหรือกลัวเข็มกลัวเลือด ก็อ่านต่อไปนะคะ เพราะว่างานด้าน Health Care นั้นไม่ใช่จะมีแค่ที่เล่ามาทั้งหมดนั้นยังมีอีกมากมายค่ะ และสามารถลงเรียนในหลักสูตรสั้นๆ ได้ค่ะ เช่น<br />- Medical Assistant<br />- Medical Transcriptionist <br />- Certified Medical Assistant (CMA) <br />- Electrocardiogram (EKG) Technician<br />- Dental Assistant<br />- Emergency Medical Technician - Paramedic (EMT-P) เป็นต้นkingkarnhttp://www.blogger.com/profile/02181022164952748128noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-1664738700218456456.post-76348891765241701852010-06-06T23:30:00.001-07:002010-06-06T23:30:42.921-07:00ทฤษฎีการพยาบาลเมลลิส (melis 1997:13) ให้ความหมายทฤษฎีว่า เป็นข้อความที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างมโนทัศน์ ทฤษฎีการพยาบาล (nursing theory) เปรียบเสมือนเป็นการสรุปทางความคิดเกี่ยวกับข้อความจริงทางการพยาบาล โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพรรณาปรากฏการณ์ อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างปรากฏการณ์ ทำนายผลที่จะเกิดขึ้น หรือ การควบคุมปรากฏการณ์ทางการพยาบาล<br /><br />ฟอว์เซท (fawcett 1989) ให้นิยามโดยเน้นที่ปรากฏการณ์ทางการพยาบาล (nursing phenomena) โดยนิยามว่า ทฤษฎีการพยาบาลประกอบด้วยมโนทัศน์ และข้อสันนิษฐาน (proposition) ที่มีความเฉพาะเจาะจงมากกว่าแบบจำลองความคิด ทฤษฎีการพยาบาลจะกล่าวถึงบุคคล สุขภาพ สิ่งแวดล้อม และการพยาบาล และระบุความสัมพันธ์ระหว่างมโนทัศน์ทั้ง 4 ดังกล่าว<br /><br />จากนิยามดังกล่าว ทฤษฎีการพยาบาลจึงเป็นข้อความแสดงความสัมพันธ์ระหว่างมโนทัศน์ทางการพยาบาลที่พรรณา อธิบาย ทำนาย และควบคุมปรากฏการณ์ทางการพยาบาลเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการkingkarnhttp://www.blogger.com/profile/02181022164952748128noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1664738700218456456.post-82379570861273892452010-06-06T23:15:00.000-07:002010-06-06T23:30:11.243-07:00กิจกรรมสำคัญกิจกรรมสำคัญของการพยาบาลได้แก่<br /><br />1.การดูแลให้ความสุขสบาย (care and comfort) ช่วยเหลือบุคคลให้สามารถจัดการกับปัญหาทางสุขภาพและการเจ็บป่วย (health illness continuum) ได้ด้วยตนเอง หน้าที่ของพยาบาลจึงมุ่งที่จะวิเคราะห์ข้อมูลทางการพยาบาล เพื่อให้ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล (assesment and diagnosis)<br />2.ให้คำแนะนำ คำสอนด้านสุขภาพ (health teaching) เพื่อคงไว้ซึ่งสุขภาพอันดีและส่งเสริมผลการรักษา มุ่งด้านการดูแลตนเอง (self care) ด้วยการส่งเสริมสนับสนุนของสมาชิกในครอบครัว<br />3.ให้คำปรึกษา (counselling) ด้านสุขภาพอนามัยทั้งในภาวะปกติ และขณะที่มีภาวะกดดัน อันเป็นเหตุให้สุขภาพเบี่ยงเบนไปจากปกติ<br />4.ให้การดูแลด้านสรีรจิตสังคม (physiopsychosocial intervention) โดยการใช้วิธีการพยาบาลการปฏิบัติ<br />การพยาบาลของพยาบาลวิชาชีพในปัจจุบัน ได้มีการพัฒนามาเป็นลำดับ ตามการเปลี่ยนแปลงความต้องการด้านบริการสุขภาพของประชาชน และตามความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีkingkarnhttp://www.blogger.com/profile/02181022164952748128noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1664738700218456456.post-65680355305695115292010-06-06T22:43:00.000-07:002010-06-06T22:47:01.382-07:00ชีวิตคือการพยาบาล<object width="445" height="364"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/QrTUGh_JBao&hl=en_US&fs=1&color1=0xcc2550&color2=0xe87a9f&border=1"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/QrTUGh_JBao&hl=en_US&fs=1&color1=0xcc2550&color2=0xe87a9f&border=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="445" height="364"></embed></object>kingkarnhttp://www.blogger.com/profile/02181022164952748128noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1664738700218456456.post-67276346981091504702010-05-25T07:01:00.000-07:002010-05-25T07:05:44.432-07:00คุณลักษณะพยาบาลที่ผู้รับบริการคาดหวังและพึงพอใจ<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjMqyd6H7xuXqchh1HAMRpxKuRXlAa0JSQQ99Kn3B_S3KLhAF9HvmYXLUQAvG0f_1g_KKmujdtWaCpGrUeNQWzYoz9TVeC-Yr8TPpaUw1h3mB4A7URFF9U2ovWAkV_rIY9S9Q3kmfzX44ZP/s1600/hospital_rhuampath1b.jpg"><img style="float:right; margin:0 0 10px 10px;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 240px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjMqyd6H7xuXqchh1HAMRpxKuRXlAa0JSQQ99Kn3B_S3KLhAF9HvmYXLUQAvG0f_1g_KKmujdtWaCpGrUeNQWzYoz9TVeC-Yr8TPpaUw1h3mB4A7URFF9U2ovWAkV_rIY9S9Q3kmfzX44ZP/s320/hospital_rhuampath1b.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5475208566949470994" /></a><br /><br /><br /><br /><br />คุณลักษณะพยาบาลที่ผู้รับบริการคาดหวัง และพึงพอใจมีผู้ศึกษาไว้มากมาย ซึ่งศึกษาได้จากเอกสาร การสอบถามผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้รับบริการ ประชาชน และจากผลงานวิจัยต่าง ๆ ซึ่งพอจะสรุปได้เป็นประเด็นทางด้านความรู้ ความสามารถ ด้านจริยธรรม และด้านทักษะการปฏิบัติการพยาบาล ดังนี้ <br /><br /> จากการศึกษาแนวโน้มในอนาคตด้านการผลิตและการพัฒนากำลังคน สาขาพยาบาลศาสตร์ (กาญจนา สันติพัฒนาชัย และคณะ, 2544) ในประเด็นคุณลักษณะของผู้สำเร็จการศึกษาที่พึงประสงค์ พบว่า ในส่วนการศึกษาคุณลักษณะของผู้สำเร็จการศึกษา หรือบัณฑิตสาขาพยาบาลศาสตร์ที่พึงประสงค์ในปัจจุบันและอนาคตที่ได้มาจากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข และจากหน่วยงานอื่นทั้งในและต่างประเทศ ดังกล่าวข้างต้น จึงสรุปคุณลักษณะของผู้สำเร็จ การศึกษา หรือบัณฑิตสาขาพยาบาลศาสตร์ที่พึงประสงค์ว่าควรมีลักษณะดังนี้ <br />1. ความสามารถด้านการปฏิบัติการพยาบาล <br /> 1) มีทักษะความสามารถ ความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติการพยาบาลเป็นอย่างดี เน้นการป้องกัน และ ส่งเสริม สุขภาพ การดูแลสุขภาพชุมชน <br /> 2) มีความสามารถในการให้บริการพยาบาลโดยใช้แนวคิด ทฤษฎีการพยาบาล กระบวนการพยาบาล และศาสตร์สาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง <br /><br />2. ความสามารถด้านวิชาการ <br /> 1) มีความสามารถในการคิด ใช้วิจารณญาณและการตัดสินใจในการแก้ปัญหาสุขภาพ <br /> 2) มีความคิดริเริ่มปรับปรุงงานให้ทันต่อความก้าวหน้าของวิทยาการและเทคโนโลยี <br /> 3) มีความคิด ความสามารถเป็นสากล หรือในเชิงนานาชาติ <br /> 4) สามารถคัดกรอง แปล วิเคราะห์ และเลือกใช้ข้อมูล <br /> 5) มีความสามารถในการคิดรวบยอด วิเคราะห์ วิจารณ์ <br /> 6) มีทักษะ ความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเอง ตลอดชีวิตมีความรอบรู้ในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับระบบการบริการสุขภาพ และศาสตร์อื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น ความรู้ด้านประชากรศาสตร์ เศรษฐศาสตร์สาธารณสุข การตลาด ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม ชาติพันธุ์ฯลฯ <br /><br />3. ความสามารถด้านการบริหาร <br /> มีความสามารถในการเป็นผู้บริหารและการจัดการที่ดีมีความสามารถในการประกันการดูแล คุณภาพของการบริการ <br /><br />4. ความสามารถด้านการวิจัย <br /> แสวงหาความรู้ใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาศาสตร์ทางวิชาชีพสามารถร่วมทำวิจัยและนำผลการวิจัยมาใช้ <br /><br />5. ความสามารถด้านทักษะเกี่ยวกับมนุษย์และมวลชน <br /> 1) สามารถทำงานร่วมกับทีมสุขภาพและบุคคลอื่นได้ <br /> 2) มีการปรับตัว ยอมรับการเปลี่ยนแปลง เปิดกว้าง รับรู้สิ่งใหม่ ๆ <br /> 3) มีความสามารถทางภาษา <br /> 4) มีศักยภาพด้านมนุษยสัมพันธ์มีความสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น <br /><br />6. ความสามารถในการมีส่วนร่วมทางการเมืองและการปกครอง <br /> สามารถคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของสังคมและการเมืองที่มีผลต่อการปฏิบัติการพยาบาลและสนองตอบต่อการเปลี่ยนแปลงได้สนับสนุนหลักการประชาธิปไตย และดำรงตนเป็นพลเมืองดีของสังคม <br /><br />7. คุณสมบัติด้านคุณธรรม และจริยธรรม <br /> 1) มีสมรรถนะให้คำปรึกษาด้านจริยธรรมที่เกี่ยวกับสุขภาพ <br /> 2) มีความปรารถนา และพร้อมที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ประชาชน <br /> 3) มีค่านิยมร่วมในขนมธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมของสังคม <br /> 4) มีคุณธรรม จริยธรรมในด้านส่วนตัว และหน้าที่การงาน <br /> 5) มีความจงรักภักดีต่อหน่วยงาน และองค์การ <br /> 6) ตระหนักและคำนึงถึงคุณค่าของวิชาชีพและสิทธิมนุษยชนของผู้รับบริการ <br /> 7) ใฝ่ดี ธำรงรักษาเอกลักษณ์ไทยที่พึงประสงค์ <br /><br />8. ความสามารถด้านการใช้เทคโนโลยี <br /> เข้าใจและใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมสามารถจัดการและใช้สารสนเทศในด้านต่าง ๆ ได้ <br /><br />9. ความสามารถด้านภาวะผู้นำ <br /> มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงเป็นผู้นำและแหล่งบริการวิชาการที่เกื้อกูล ประโยชน์ต่อสาธารณสุขและสังคม <br /><br />10. คุณสมบัติด้านบุคลิกภาพ <br /> มีบุคลิกภาพที่เหมาะสมด้านการแต่งกาย อารมณ์และจิตใจ มองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขันมีความสุข <br /><br />11. คุณสมบัติด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม <br /> ประหยัด และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าให้ความรู้ รณรงค์ ป้องกันภัยอันตรายต่าง ๆ ที่ผลกระทบต่อสุขภาพ อันเนื่องมาจากสิ่งแวดล้อมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม <br /><br /><br /> และสุดท้ายในการปฏิบัติงานต่างๆ ของพยาบาล หลักฐานชิ้นสำคัญที่จะสามารถบอกถึงความเป็นวิชาชีพของพยาบาล นั่นก็คือ บันทึกทางการพยาบาล พวกเราพยาบาลวิชาชีพทุกท่าน จึงต้องตระหนัก และให้ความสำคัญ โดยต้องพยายามร่วมกันบันทึกสิ่งที่เราได้ปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยอย่างมีคุณภาพนั้นๆ ให้ปรากฏอย่างเด่นชัดในบันทึกทางการพยาบาล เพื่อยืนยันความเป็นวิชาชีพร่วมกับวิชาชีพสาขาอื่นๆ นะค่ะ พบกันใหม่ในตอนหน้านะค่ะ ขอบคุณคะ <br /><br /><br /><br />หนังสืออ้างอิง <br /> กองการพยาบาล. (2544). การประกันคุณภาพการพยาบาลในโรงพยาบาล: งานบริการพยาบาลผู้ป่วยใน. กรุงเทพ: สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข. <br /> คณะอนุกรรมการจริยธรรม. (2545). แนวทางการส่งเสริมการปฏิบัติการพยาบาลตามจรรยาบรรณวิชาชีพ.กรุงเทพ: สภาการพยาบาล.kingkarnhttp://www.blogger.com/profile/02181022164952748128noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1664738700218456456.post-54514237592869992162010-05-25T07:00:00.000-07:002010-05-25T07:01:30.541-07:00หน้าที่หลักทางคลินิกของพยาบาลวิชาชีพ1. การประเมินผู้ป่วย/ผู้ใช้บริการ (Assessment) <br /> 1.1 ประเมินปัญหาและความต้องการของผู้ป่วย/ผู้ใช้บริการอย่างถูกต้องครบถ้วนทันทีที่รับไว้ในความดูแล การติดตามเฝ้าระวังและการประเมินปัญหา/ความต้องการอย่างต่อเนื่องตลอดการดูแล จนกระทั่งจำหน่ายจากการดูแล <br /> 1.2 การรวบรวมข้อมูลอย่างครบถ้วนตามมาตรฐานการดูแล/การพยาบาลที่กำหนด และข้อมูลนั้นมีคุณภาพเพียงพอแก่การวินิจฉัยปัญหา การวางแผนการดูแล รวมทั้งเพียงพอต่อการประเมินผลการพยาบาล <br /><br />2. การจัดการกับอาการรบกวนต่างๆ (Symptom Distress Management) หมายถึง การช่วยเหลือขจัดหรือบรรเทาอาการรบกวนต่างๆ ทั้งอาการรบกวนด้านร่างกายและจิตใจ ได้แก่ อาการที่คุกคามชีวิตและอาการคลื่นไส้อาเจียน นอนไม่หลับ วิตกกังวล กลัว เป็นต้น <br /><br />3. การดูแลความปลอดภัย (Provision for Patient Safety) <br /> 3.1 การจัดการให้ผู้ป่วย/ผู้ใช้บริการได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยทั้งด้านกายภาย ชีวภาพ เคมี รังสี แสงและเสียง โดยมีเป้าหมายเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและการบาดเจ็บต่างๆ เช่น การพลัดตกหกล้ม การบาดเจ็บจากการผูกยึด การบาดเจ็บจากการใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมทั้งการป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล <br /> 3.2 การจัดการดูแลอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ และอุปกรณ์จำเป็นที่ใช้เพื่อการรักษาพยาบาลให้มีเพียงพอ พร้อมใช้ในภาวะฉุกเฉิน มีความปลอดภัยในการใช้งานกับผู้ป่วยเพื่อให้สามารถให้การดูแลรักษาผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากอุปกรณ์ไม่พร้อมหรือไม่ปลอดภัย <br /> 3.3 การจัดการ การส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่ทุกระดับมีการปฏิบัติงานตามมาตรฐานหรือแนวทางที่กำหนดเพื่อป้องกันความผิดพลาดในการทำงาน <br /><br />4. การป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นระหว่างรักษาพยาบาล (Prevention of complication) หมายถึง กิจกรรมการพยาบาลใดๆ ที่เป็นไปเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่คาดว่าอาจจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วย แต่ละราย หรือแต่ละกลุ่มโรค/อาการ รวมทั้งการป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากผลข้างเคียงของการรักษาด้วย เช่น การป้องกันอันตรายจากการให้ยาบางชนิด การให้เลือด การให้ออกซิเจน การห้ามเลือด การจำกัดการเคลื่อนไหวผู้ป่วย/อวัยวะด้วยวิธีต่างๆ เป็นต้น <br /><br />5. การให้การดูแลต่อเนื่อง หมายถึง การจัดการให้เกิดการดูแลต่อเนื่องในผู้ป่วยแต่ละราย ได้แก่ การเฝ้าระวังสังเกตอาการอย่างต่อเนื่อง การส่งต่อแผนการรักษาพยาบาล การประสานงานกับหน่วยงานหรือทีมงานที่เกี่ยวข้อง การสื่อสารเพื่อการส่งต่อผู้ป่วยทั้งการส่งต่อภายในหน่วยงาน ระหว่างหน่วยงานในโรงพยาบาล ระหว่างโรงพยาบาลหรือหน่วยงานภายนอกโรงพยาบาล รวมทั้งการช่วยเหลือกรณีผู้ป่วยเสียชีวิตด้วย <br /><br />6. การสนับสนุนการดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่วย/ผู้ใช้บริการและครอบครัว หมายถึง กิจกรรมการช่วยเหลือ การสื่อสารเพื่อให้ความรู้ สร้างความเข้าใจ และการฝึกทักษะที่จำเป็นในการดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่วยเกี่ยวกับการเฝ้าระวังสังเกตอาการผิดปกติ การแก้ไขอาการเบื้องต้น การป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ การใช้ยา การปฏิบัติตนตามการรักษา การขอความช่วยเหลือด้านสุขภาพ การปฏิบัติเพื่อการส่งเสริมสุขภาพ และการมาตรวจตามนัดทั้งนี้รวมถึงการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการดูแลสุขภาพอื่นๆ ด้วย เช่น การอธิบายก่อนลงนามยินยอมรักษาพยาบาล หรือก่อนการส่งต่อไปยังสถานพยาบาลแห่งอื่น และการแจ้งข่าวร้ายกรณีผู้ป่วยเสียชีวิต <br /><br />7. การสร้างความพึงพอแก่ผู้ป่วย/ผู้ใช้บริการ (Enhancement of patient satisfaction) กิจกรรมการพยาบาลบนพื้นฐานของสัมพันธภาพ และการสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ป่วย/ผู้ใช้บริการด้วยบุคลิกภาพที่เหมาะสมโดยเฉพาะเกี่ยวกับการช่วยเหลือเอาใจใส่ การให้ข้อมูลและการตอบสนองความต้องการ/ความคาดหวังของผู้ป่วย/ผู้ใช้บริการอย่างเหมาะสม <br />สมรรถนะหลักที่จำเป็นของผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ (คณะอนุกรรมการจริยธรรม, 2545) <br /><br /><br />ผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ ตามความหมายของ พระราชบัญญัติวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ พ.ศ. 2528 และที่แก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2540 นั้น หมายถึง บุคคลซึ่งได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็น ผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ จาก สภาการพยาบาล ซึ่งสภาการพยาบาลได้กำหนดสมรรถนะหลักของผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและผดุงครรภ์ ชั้นหนึ่ง ไว้ดังนี้ <br /><br />สมรรถนะหลักของผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและผดุงครรภ์ ชั้นหนึ่ง <br /><br />สมรรถนะที่ 1 การปฏิบัติการพยาบาลอย่างมีจริยธรรม ตามมาตรฐาน และกฎหมายวิชาชีพการพยาบาล และการผดุงครรภ์ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง <br /> 1.1 ประเมินภาวะสุขภาพและความต้องการผู้ใช้บริการอย่างเป็นองค์รวม <br /> 1.2 วินิจฉัยการพยาบาล <br /> 1.3 วางแผนการพยาบาล <br /> 1.4 ปฏิบัติการพยาบาล <br /> 1.5 ติดตามการประเมินผลการปฏิบัติการพยาบาล <br /> 1.6 จัดการสิ่งแวดล้อมให้มีความปลอดภัย <br /><br />สมรรถนะที่ 2 ปฏิบัติการผดุงครรภ์อย่างมีจริยธรรม ตามมาตรฐาน และกฎหมายวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง <br /> 2.1 ประเมินปัญหาและความต้องการผู้ใช้บริการ <br /> 2.2 วินิจฉัยการพยาบาลในหญิงตั้งครรภ์ <br /> 2.3 วางแผนการพยาบาลในหญิงตั้งครรภ์ <br /> 2.4 บริบาลครรภ์ โดยการรับฝากครรภ์ คัดกรอง และส่งต่อในรายผิดปกติ และประยุกต์หลักการดูแลให้สอดคล้องกับสภาพและวัฒนธรรมของหญิงตั้งครรภ์ <br /> 2.5 ทำคลอดปกติ <br /> 2.6 ตัด และซ่อมแซมฝีเย็บ <br /> 2.7 เตรียมและช่วยคลอดกรณีคลอดปกติ <br /> 2.8 ส่งเสริมสัมพันธภาพระหว่างบิดา มารดา และทารก ตลอดการตั้งครรภ์ การคลอด และหลังคลอด <br /> 2.9 ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ <br /> 2.10 ดูแลมารดา และทารกที่ปกติ มีภาวะแทรกซ้อน และฉุกเฉิน <br /> 2.11 ให้ความรู้ และให้การปรึกษาครอบครัวในการวางแผนครอบครัว และการเตรียมตัว เป็นบิดา มารดา และการดูแลตนเองของมารดาในทุกระยะของการตั้งครรภ์ <br /> 2.12 ติดตามประเมินผลการปฏิบัติการผดุงครรภ์ <br /><br />สมรรถนะที่ 3 ส่งเสริมสุขภาพบุคคล กลุ่มคน และชุมชน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ สามารถดูแลสุขภาพตนเองได้ในภาวะปกติ และภาวะเจ็บป่วย และลดภาวะเสี่ยงการเกิดโรค และเกิดความเจ็บป่วย <br /> 3.1 ให้ความรู้ด้านสุขภาพแก่บุคคล ครอบครัว กลุ่มคน และชุมชน <br /> 3.2 สนับสนุนและช่วยเหลือบุคคลครอบครัวและกลุ่มต่างๆ ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ <br /> 3.3 ให้ข้อมูลและจัดการช่วยเหลือให้ผู้ใช้บริการได้รับสิทธิด้านสุขภาพ <br /> 3.4 จัดการสิ่งแวดล้อม เพื่อความปลอดภัย และส่งเสริมสุขภาพ <br /><br />สมรรถนะที่ 4 ป้องกันโรคและเสริมภูมิคุ้มกันโรค เพื่อลดความเจ็บป่วยจากโรคที่สามารถป้องกันได้ <br /> 4.1 เก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับภาวะสุขภาพของชุมชน และการระบาดของโรคในชุมชน <br /> 4.2 เสริมสร้างความสามารถในการดูแลตนเองของชุมชนเพื่อป้องกันโรค <br /> 4.3 เฝ้าระวัง ค้นหา และสืบสวนโรคที่เกิดในชุมชน <br /> 4.4 ให้วัคซีน สร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคแก่ประชาชน <br /><br />สมรรถนะที่ 5 ฟื้นฟูสภาพบุคคล กลุ่มคน และชุมชนทั้งด้านร่างกาย จิตสังคม เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างเต็มศักยภาพ <br /> 5.1 ป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากความเจ็บป่วย <br /> 5.2 เลือกใช้วิธีการฟื้นฟูสภาพ <br /> 5.3 แนะนำการใช้กายอุปกรณ์ และอวัยวะเทียม <br /> 5.4 ให้ความรู้ สนับสนุน ช่วยเหลือ และแนะนำแหล่งประโยชน์ในการฟื้นฟูสภาพอย่างต่อเนื่องแก่ ผู้ใช้บริการ ญาติ และผู้เกี่ยวข้อง <br /> 5.5 ประสานกับแหล่งประโยชน์เพื่อฟื้นฟูสุขภาพชุมชน <br /><br />สมรรถนะที่ 6 รักษาโรคเบื้องต้น ตามข้อบังคับของสภาการพยาบาล <br /> 6.1 คัดกรองโรคเบื้องต้น <br /> 6.2 วินิจฉัยโรคเบื้องต้น <br /> 6.3 รักษาโรคเบื้องต้น <br /> 6.4 ให้การผดุงครรภ์ และวางแผนครอบครัว <br /><br />สมรรถนะที่ 7 สอนและให้การปรึกษาบุคคล ครอบครัว กลุ่มคน และชุมชน เพื่อการมีภาวะสุขภาพที่ดี <br /> 7.1 ส่งเสริม สนับสนุน และสอนผู้ใช้บริการให้เกิดการเรียนรู้ และสามารถดูแลสุขภาพตนเอง <br /> 7.2 ให้การปรึกษาแก่บุคคล ครอบครัว และชุมชน ที่มีปัญหาทางกาย จิต สังคม ที่ไม่ซับซ้อน <br /> 7.3 แนะนำและส่งต่อผู้ใช้บริการที่มีปัญหาสุขภาพที่ซับซ้อน <br /><br />สมรรถนะที่ 8 ติดต่อสื่อสารกับบุคคล ครอบครัว กลุ่มคน และชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ <br /> 8.1 ติดต่อสื่อสารและสร้างสัมพันธ์ภาพกับคนทุกเพศ ทุกวัย ทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว กลุ่มคน ชุมชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง <br /> 8.2 บันทึกและเขียนรายงานได้อย่างถูกต้อง <br /> 8.3 นำเสนอความคิด ผลงานต่อสาธารณชน <br /> 8.4 ใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการติดต่อสื่อสารในงานที่รับผิดชอบ <br /> 8.5 ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการสื่อสาร <br /><br />สมรรถนะที่ 9 แสดงภาวะผู้นำและการบริหารจัดการตนเอง และงานที่รับผิดชอบได้อย่างเหมาะสม <br /> 9.1 มีวิสัยทัศน์ สามารถวางแผน แก้ปัญหา และตัดสินใจ <br /> 9.2 รับผิดชอบงานในหน้าที่ <br /> 9.3 วางแผนและจัดการทรัพยากร และเวลา <br /> 9.4 เจรจาต่อรองเพื่อรักษาประโยชน์ของผู้ใช้บริการ และงานที่รับผิดชอบ <br /> 9.5 ประสานงานกับผู้ร่วมงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง <br /> 9.6 พัฒนาคุณภาพของงานอย่างต่อเนื่อง <br /> 9.7 จัดการให้ผู้ใช้บริการได้รับการบริการ <br /> 9.8 ปฏิบัติงานในฐานะหัวหน้าทีม หรือลูกทีม <br /><br />สมรรถนะที่ 10 ปฏิบัติการพยาบาลและการผดุงครรภ์ตามจรรยาบรรณวิชาชีพโดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน <br /> 10.1 ดูแลผู้ป่วยและผู้ใช้บริการให้ได้รับสิทธิพื้นฐานตามที่สภาวิชาชีพกำหนดไว้ใน "สิทธิผู้ป่วย" <br /> 10.2 ปฏิบัติตนตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ ตามที่สภาการพยาบาลกำหนด <br /> 10.3 ปฏิบัติการพยาบาลตามมาตรฐานวิชาชีพ ในขอบเขตวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ ตามพระราชบัญญัติวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ <br /> 10.4 ประกอบวิชาชีพโดยตระหนักถึงกฎหมาย กฎ ระเบียบ และข้อบังคับต่างๆ ที่เกี่ยว ข้องกับการประกอบวิชาชีพ <br /> 10.5 ปฏิบัติการพยาบาลโดยให้ความเสมอภาคต่อทุกกลุ่ม เชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม เศรษฐานะ และภาวะสุขภาพ <br /><br />สมรรถนะที่ 11 ตระหนักในความสำคัญของการวิจัยต่อการพัฒนาการพยาบาล และสุขภาพ <br /> 11.1 มีความรู้เกี่ยวกับระเบียบวิธีวิจัย <br /> 11.2 ใช้ผลการวิจัยในการปฏิบัติการพยาบาล <br /> 11.3 ให้ความร่วมมือในการทำวิจัย <br /> 11.4 คำนึงถึงจรรยาบรรณนักวิจัย และสิทธิมนุษยชน <br /><br />สมรรถนะที่ 12 ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการพยาบาล <br /> 12.1 สืบค้นข้อมูลด้านสุขภาพและความรู้ที่เกี่ยวข้อง <br /> 12.2 เลือกใช้ฐานข้อมูลด้านสุขภาพ <br /> 12.3 บันทึกข้อมูลสุขภาพ และการปฏิบัติการพยาบาลโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ <br /><br />สมรรถนะที่ 13 พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างคุณค่าในตนเอง และสมรรถนะในการปฏิบัติการพยาบาล <br /> 13.1 มีความคิดสร้างสรรค์ และคิดอย่างมีวิจารณญาณ <br /> 13.2 มีความตระหนักในตนเอง และมีความเห็นใจผู้อื่น <br /> 13.3 จัดการกับอารมณ์ และความเครียดของตนเอง <br /> 13.4 ศึกษาค้นคว้า หาความรู้ ความชำนาญในการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง <br /> 13.5 มีความตระหนักในการปกป้อง รักษาสิทธิด้านสุขภาพแก่ประชาชน <br /><br />สมรรถนะที่ 14 พัฒนาวิชาชีพให้มีความเจริญก้าวหน้า และมีศักดิ์ศรี <br /> 14.1 มีทัศนคติที่ดีต่อวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ <br /> 14.2 ตระหนักในความสำคัญของการเป็นสมาชิกองค์กรวิชาชีพ <br /> 14.3 รู้รักสามัคคีในเพื่อนร่วมวิชาชีพ <br /> 14.4 ให้ความร่วมมือ ในการทำกิจกรรมต่างๆ ขององค์กรวิชาชีพ <br /> 14.5 ตระหนักในความสำคัญของการสนับสนุนและมีส่วนร่วมในการสอนนักศึกษาและบุคลากรใหม่ในสาขาวิชาชีพkingkarnhttp://www.blogger.com/profile/02181022164952748128noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1664738700218456456.post-30109850084093260892010-05-25T06:59:00.000-07:002010-05-25T07:00:42.966-07:00ขอบเขตและหน้าที่ของพยาบาล“การพยาบาล" หมายความว่า การกระทำในการช่วยเหลือดูแลผู้ป่วยเพื่อบรรเทาอาการโรคและ/หรือยับยั้งการลุกลามของโรค รวมถึงการประเมินภาวะสุขภาพ การส่งเสริมและฟื้นฟูสุขภาพอนามัยและการป้องกันโรค ทั้งนี้โดยอาศัยหลักวิทยาศาสตร์ และศิลปะการพยาบาล <br /><br /> “การผดุงครรภ์" หมายความว่า การตรวจ การแนะนำและการปฏิบัติต่อหญิงมีครรภ์ ป้องกันและส่งเสริมสุขภาพของมารดา ทารก ความผิดปกติในระยะตั้งครรภ์ ระยะคลอด การทำคลอด รวมทั้งการดูแลมารดา และทารกในระยะหลังคลอด ทั้งนี้โดยอาศัยหลักวิทยาศาสตร<br /><br /> "พยาบาลวิชาชีพ" คือ ผู้สำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรพยาบาลศาสตร์ เพื่อสามารถประกอบอาชีพในด้านบริการสุขภาพอนามัยทั้งในส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือภาคเอกชน <br /> คุณสมบัติ : สำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรพยาบาลศาสตร์และผดุงครรภ์ชั้นสูงเทียบเท่าปริญญาตรี สายการพยาบาลหรือปริญญาบัณฑิต <br /> หน้าที่รับผิดชอบหลัก รับผิดชอบในการให้บริการแก่ผู้ป่วยและผู้รับบริการในโรงพยาบาลหรือชุมชนตามขอบเขตของงาน ซึ่งรวมทั้งการแก้ปัญหาสุขภาพขั้นพื้นฐานและปัญหาการพยาบาลที่ซับซ้อนในการพยาบาลสาขาใดสาขาหนึ่ง ควบคุมนิเทศการปฏิบัติการพยาบาลของพยาบาลเทคนิค และผู้ประกอบโรคศิลปะแผนปัจจุบันชั้นสองโดยมีขอบเขตหน้าที่ทั้งหมดตามกิจกรรม ในรายละเอียดของงานที่ทำ <br /><br /><br />รวบรวมข้อมูลวิเคราะห์เพื่อวินิจฉัยปัญหาสุขภาพ และปัญหาทางการพยาบาลของผู้รับบริการของครอบครัว และชุมชนได้ทุกระดับ <br />กำหนดแผนเพื่อจัดบริการพยาบาล วางแผนงาน กำหนดระบบและกระบวนการดำเนินงานนิเทศและประเมินผลงาน รวมทั้งการบริหารงานบุคคลในสายงานพยาบาล ตลอดจนการบริหารทรัพยากรในการดำเนินการพยาบาล <br />ให้บริการพยาบาลทั่วไปและการพยาบาลเฉพาะโรคได้ทุกระดับปัญหา และทุกระดับความรุนแรงของโรค <br />สังเกต บันทึก สรุป รายงานอาการเปลี่ยนแปลงและปฏิกิริยาของผู้ป่วย ต่อการรักษาพยาบาลตลอดจนความก้าวหน้าของการรักษาพยาบาล <br />ให้การผดุงครรภ์ตามสาขาการผดุงครรภ์แผนปัจจุบัน ชั้น 1 <br />ตัดสินแก้ปัญหาทางการพยาบาล <br />ให้คำแนะนำเพื่อให้เกิดผลดีแก่การพยาบาลและ/หรือ แก่สุขภาพร่างกายและจิตใจของผู้รับบริการได้ทุกระดับและให้ความรู้เกี่ยวกับปัญหา พยาธิสภาพการดำเนินของโรค ตลอดจนแผนการรักษาพยาบาล <br />ตรวจร่างกาย วินิจฉัยโรคขั้นต้นให้การพยาบาลกลุ่มอาการต่าง ๆ ทั้งทางด้านอายุรกรรม และศัลยกรรม ตามขอบเขตของระเบียบกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 5 (2518) <br />วางแผนและดำเนินการส่งเสริมสุขภาพในตำแหน่งหัวหน้าทีม ร่วมกับวิชาชีพอื่นในด้านการส่งเสริมสุขภาพชุมชน การอนามัยครอบครัว อนามัยโรงเรียน การสุขศึกษา การวางแผนครอบครัวการโภชนาการและการบริการด้านสุขภาพจิต <br />วางแผนและมอบหมายงานให้ผู้อยู่ในความรับผิดชอบ และดำเนินการป้องกันโรคโดยให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยและประชาชนโดยทั่วไป การให้ภูมิคุ้มกันโรค การเฝ้าระวังโรค ตลอดจนการร่วมมือในการป้องกันและการควบคุมการแพร่กระจายเชื้อโรคในโรงพยาบาล <br />ประสานงานและดำเนินการฟื้นฟูสมรรถภาพให้การควบคุมดูแล เกี่ยวกับความปลอดภัยการป้องกัน หรือยับยั้งภาวะทุพลภาพ และพิจารณามอบหมายให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติ <br />ให้การนิเทศแก่เจ้าหน้าที่ พยาบาลในความรับผิดชอบ <br />วิเคราะห์ปัญหาและให้ข้อเสนอแนะแนวทางแก้ปัญหาด้านบริการพยาบาลได้ <br />จัดระเบียบงาน แบ่งงาน และมอบหมายหน้าที่ให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน ภายใต้ความรับผิดชอบได้อย่างเหมาะสม <br />ประเมินผลการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ภายใต้ความรับผิดชอบ รวมทั้งประเมินผลงานของตนเองได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ <br />วางแผนป้องกันอุบัติเหตุและให้ความปลอดภัยแก่ผู้ป่วย และผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานรับผิดชอบ <br />ร่วมวางแผนและกำหนดดำเนินการในงานสาธารณสุขมูลฐานกับบุคคลและหน่วยงานอื่นได้ <br />วางแผนการให้การศึกษาและอบรมฟื้นฟูด้านวิชาการ และดำเนินการสอนแก่เจ้าหน้าที่และนักศึกษาทั้งภายในและภายนอกหน่วยงานได้ <br />จัดทำคู่มือและอุปกรณ์การสอน เพื่อช่วยส่งเสริมสุขภาพและปฏิบัติงานด้านการพยาบาล <br />สนับสนุนและประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ เช่น งานสังคมสงเคราะห์ งานชันสูตรทางห้องปฏิบัติการ งานเภสัชกรรมkingkarnhttp://www.blogger.com/profile/02181022164952748128noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1664738700218456456.post-57857330163859100232010-05-25T06:39:00.000-07:002010-05-25T06:57:46.776-07:00บทบาทหน้าที่และการปฏิบัติงานของพยาบาลบุคลากรพยาบาล ถือเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับงานการบริการให้กับผู้ป่วย ครอบครัว และชุมชน เนื่องจากพยาบาล เป็นบุคลากรกลุ่มใหญ่ และใกล้ชิดกับผู้รับบริการมากที่สุด การปฏิบัติงานของพยาบาล ถือเป็นลักษณะงานที่แสดงถึงความเป็นวิชาชีพ เนื่องจากมีการนำกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการแก้ไขปัญหา โดยมีเครื่องมือสำคัญที่แสดงถึงความเป็นวิชาชีพ นั่นคือ การปฏิบัติงานโดยใช้กระบวนการพยาบาล การเปรียบเทียบขั้นตอนการปฏิบัติการพยาบาล กับขั้นตอนการแก้ไขปัญหาด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จะเป็นดังนี้คือ
<br />
<br />กระบวนการพยาบาล
<br />1. การประเมินสภาพผู้ป่วย
<br />2. การวินิจฉัยทางการพยาบาล
<br />3. การวางแผนการพยาบาล
<br />4. การปฏิบัติการพยาบาล
<br />5. การประเมินผล
<br />
<br />กระบวนการแก้ไขปัญหา
<br />1. การสืบค้นข้อมูล/ข้อเท็จจริงเพื่อหาปัญหา
<br />2. การวิเคราะห์/สังเคราะห์ข้อมูลเพื่อกำหนดปัญหา
<br />3. การหาแนวทางการแก้ไขปัญหา
<br />4. การลงมือแก้ไขปัญหา
<br />5. การติดตามประเมินผลของการแก้ไขปัญหา
<br />
<br />
<br /> จะเห็นได้ว่ากระบวนการพยาบาล มีลักษณะที่คล้ายคลึงกับกระบวนการบริหารงาน อันประกอบด้วย การวางแผน การจัดองค์กร การนำองค์กร และการนิเทศ/ติดตามผล ดังนั้นการปฏิบัติงานของพยาบาลวิชาชีพในแต่ละเวร จึงถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในบทบาทของผู้บริหารจัดการการดูแลผู้ป่วยในความรับผิดชอบให้ได้รับการบริการอย่างมีคุณภาพ และมีประสิทธิภาพ
<br />
<br />
<br />
<br />kingkarnhttp://www.blogger.com/profile/02181022164952748128noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1664738700218456456.post-58357713297146729592010-05-23T23:55:00.000-07:002010-05-25T04:53:35.300-07:00This a nurse<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEja1RmP-5pmtFbJHWorQExgpnAub8F78M_8IDx4nsPwofFNW5hC6zRZ6sPLYLlAn18EpYwpf9AziNVaTj95txa-Zomugks6-qGPxhxpvPuEK3KmRmr44v7CRHq43LjHk4o6fp4kE0WzUL53/s1600/imagesCA0RQ3Y4.jpg"><img style="MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 121px; FLOAT: left; HEIGHT: 97px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5474734249798039010" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEja1RmP-5pmtFbJHWorQExgpnAub8F78M_8IDx4nsPwofFNW5hC6zRZ6sPLYLlAn18EpYwpf9AziNVaTj95txa-Zomugks6-qGPxhxpvPuEK3KmRmr44v7CRHq43LjHk4o6fp4kE0WzUL53/s320/imagesCA0RQ3Y4.jpg" /></a><br /><br />พยาบาล (อาจเรียกว่า นางพยาบาล หรือ บุรุษพยาบาล) เป็นวิชาชีพที่ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วย พยาบาลพบได้ทั่วไปทำงานตามโรงพยาบาล คลินิก หรือสถานพยาบาลอื่น ๆ พยาบาลเป็นวิชาชีพที่ก่อนจะปฏิบัติงานจะต้องผ่านการสอบขึ้นทะเบียนความรู้จากสภาการพยาบาลก่อนจึงจะสามารถปฏิบัติงานได้อย่างสมบูรณ์ โดยพยาบาลสามารถที่จะดูแลผู้ป่วยได้ตามหลักการพยาบาลที่ได้เรียนมา เป็นเวลา 4 ปีสำหรับพยาบาลวิชาชีพ และสถาบันที่เปิดสอนหลักสูตรพยาบาลมีมากมายในประเทศไทยทั้งที่สังกัดกระทรวงสาธารณสุขและเอกชน<br /><br />พยาบาลในปัจจุบันมักจะสวมชุดพยาบาลที่เป็นสีขาว หรือมีสีขาว และสวมหมวกที่มีลักษณะเฉพาะตัว อย่างไรก็ตาม พยาบาลในบางประเทศ หรือในบางวัฒนธรรมอาจใช้ชุดพยาบาลสีอื่น ๆkingkarnhttp://www.blogger.com/profile/02181022164952748128noreply@blogger.com1