วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ประเพณีลอยกระทง

"สวัสดีค่ะ" ดิฉันกลุ่ม K2J มีสมาชิกกลุ่มดังนี้
ด.ญ.ชมพูนุช แซ่ซัง , น.ส.กิ่งกาญจน์ ทัดเที่ยง ,และดิฉัน ด.ญ.กรกนก โล่ห์ประเสริฐ
กลุ่มของดิฉันได้มาถ่ายทำและนำเสนอประวัติความเป็นมา ความเชื่อ วัสดุอุปกรณ์และวิธีการทำกระทง

ชมพูนุช : ประวัติความเป็นมาของประเพณีลอยกระทง ประเพณีลอยกระทงจัดขึ้นเพื่อเป็นขอขมาต่อแม่พระคงคา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 อยู่ในเดือนพฤศจิกายน ประเพณีนี้ได้สืบต่อกันมานานตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหง เรียกประเพณีลอยกระทงว่า "พิธีจองเปรียญ" หรือ "การลอยพระประทีป"

กรกนก : ความเชื่อของประเพณีลอยกระทง เชื่อกันว่าเป็นการขอขมาพระแม่คงคาที่คนเราได้ใช้น้ำ ในการอุปโภคและบริโภค

ชมพูนุช : วัสดุอุปกรณ์และวิธีการทำกระทง
วัสดุอุปกรณ์ : 1.ท่อนกล้วย 2.ใบตอง 3.เข็ม ด้าย 4.ดอกไม้ 5.ธูปเทียน ฯลฯ
วิธีทำ : 1. ตัดใบตองขนาดความกว้าง 1.5 นิ้ว ยาว 6 นิ้ว โดยประมาณ
2. พับใบตองตามรูปที่ต้องการ จากนั้นนำมาวางซ้อนแล้วเย็บให้สวยงาม
3. นำไปติดรอบฐานท่อนกล้วย
4.จากนั้นประดับด้วยดอกไม้ตามความชอบ และปักธูปเทียนลงไป

วันที่ถ่ายทำ : วันอาทิตย์ ที่ 21 เดือนพฤษจิกายน พ.ศ. 2553
สถานที่ : ณ งานวันลอยกระทง

วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ประเพณีลอยกระทง

วันลอยกระทง เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทย ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย ตามปฏิทินจันทรคติล้านนา "มักจะ" ตกอยู่ในราวเดือนพฤศจิกายน ตามปฏิทินสุริยคติ ประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก สำหรับประเทศไทยประเพณีลอยกระทงได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไป
ในวันลอยกระทง ผู้คนจะพากันทำ "กระทง" จากวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตบแต่งเป็นรูปคล้ายดอกบัวบาน ปักธูปเทียน และนิยมตัดเล็บ เส้นผม หรือใส่เหรียญกษาปณ์ลงไปในกระทง แล้วนำไปลอยในสายน้ำ (ในพื้นที่ติดทะเล ก็นิยมลอยกระทงริมฝั่งทะเล) เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการลอยกระทง เป็นการบูชาพระแม่คงคาด้วย

เดิมเชื่อกันว่าประเพณีลอยกระทงเริ่มมีมาแต่สมัยสุโขทัย ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง โดยมีนางนพมาศหรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ เป็นผู้ประดิษฐ์กระทงขึ้นครั้งแรก โดยแต่เดิมเรียกว่าพิธีจองเปรียง ที่ลอยเทียนประทีป และนางนพมาศได้นำดอกโคทม ซึ่งเป็นดอกบัวที่บานเฉพาะวันเพ็ญเดือนสิบสองมาใช้ใส่เทียนประทีป[ต้องการอ้างอิง] แต่ปัจจุบันมีหลักฐานว่าไม่น่าจะเก่ากว่าสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยอ้างอิงหลักฐานจากภาพจิตรกรรมการสร้างกระทงแบบต่างๆ ในสมัยรัชกาลที่ 3

ปัจจุบันวันลอยกระทงเป็นเทศกาลที่สำคัญของไทย ที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศมาเที่ยวปีละมากๆ ทั้งนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวมักจะเป็นช่วงต้นฤดูหนาว และมีอากาศดี ในวันลอยกระทง ยังนิยมจัดประกวดนางงาม เรียกว่า "นางนพมาศ"และ:"นายนพมาศ"

ความเป็นมา
ประเพณีลอยกระทง เป็นประเพณีโบราณของไทย แต่ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าทำกันมาตั้งแต่เมื่อไร เท่าที่ปรากฏ กล่าวได้ว่ามีมาตั้งแต่สุโขทัยเป็นราชธานี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสันนิษฐาน ว่า เดิมทีเดียวเห็นจะเป็นพิธีของพราหมณ์ กระทำเพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้าทั้งสาม คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ต่อมาได้ถือตามแนวทางพระพุทธศาสนา มีการชักโคมเพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุพระจุฬามณีในชั้นดาวดึงส์ และลอยโคมเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท ซึ่งประดิษฐาน ณ หาดทรายแม่น้ำนัมมทา ในสมัยสุโขทัย นางนพมาศพระสนมของพระร่วงได้คิดทำกระทงถวายเป็นรูปดอกบัวและรูปต่างๆให้ทรงลอยตามสายน้ำไหล





สถานที่ถ่ายทำคือ นิทรรศการวันลอยกระทง
วันที่ถ่ายทำ วันอาทิตย์ ที่ 21 เดือน พฤษจิกายน พ.ศ.2553
นำเสนอโดย
น.ส.กิ่งกาญจน์ ทัดเที่ยง ม.3/2 เลขที่ 22 ผู้ถ่าย
ด.ญ.กรกนก โล่ห์เสริฐ ม.3/2 เลขที่ 10 ผู้นำเสนอ
ด.ญ.ชมพูนุช แซ่ซัง ม.3/2 เลขที่ 17 ผู้นำเสนอ
และเพื่อนๆต่างโรงเรียน

วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การเรียนพยาบาลในอเมริกา


อาชีพ “พยาบาล” (Registered Nurse) เป็นอาชีพที่ขาดแคลนและอยู่ในความต้องการสูงมาตลอด 30 ปีและจะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกอย่างน้อย 20 ปี ดังนั้นการเรียนพยาบาลเป็นอีกวิชาชีพที่น่าสนใจ

Career in Healthcare การจะเรียนพยาบาลนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิดแต่ก็ไม่ยากเกินกว่าความพยายามแน่นอน...แต่ก่อนจะตัดสินใจเรียนคำถามแรกที่ควรถามตัวเองก็คือ:
- “รัก” ที่จะทำงานทางด้านนี้หรือเปล่า? (อันนี้สำคัญที่สุด)
- ยังมี “ไฟ” ที่จะเรียนอยู่หรือเปล่า?
- พื้นฐานภาษาอังกฤษอยู่ในระดับไหน?
- มีเวลาให้กับการเรียนหรือไม่?
- มีภาระอื่นๆ ในครอบครัว เช่น มีลูกเล็กๆ หรือไม่? เป็นต้น

การเรียนพยาบาลนั้นต้องเริ่มต้นจากการเป็น pre-nursing student ก่อนและต้องเรียนวิชาพื้นฐานอย่างน้อย 2 ปี...ภาษาอังกฤษเป็นสิ่งสำคัญมากต้องพูด, เขียน, ฟัง, และอ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ และต้องมีเวลาให้กับการอ่านตำรานอกห้องเรียนหรือการทำ lab write up หรือ presentation ต่างๆ อีกด้วย..

ในสายงาน Nursing Service นั้นก็มีงานหลากหลายตำแหน่ง สำหรับพยาบาลก็แบ่งออกเป็นระดับต่างๆ ดังนี้:

Certified Nurse Aide (CNA) – ทำงานภายใต้การดูแลของพยาบาล RN และพยาบาล LVN, ผ่านการอบรม basic patient care, และต้องสอบ state licensing examination การเรียน CNA นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นหลักสูตรสั้นๆ ประมาณ 6 อาทิตย์ สามารถสมัครเรียนได้ตามโรงเรียนที่เปิดให้บริการด้าน care giver หรือ adult schools ทั้งนี้ผู้สมัครเรียน CNA จะต้องทดสอบภาษาอังกฤษก่อน สำหรับที่แคลิฟอร์เนียนั้นจะต้องสอบ state licensing examination ก่อนถึงจะทำงานได้

ค่าใช้จ่ายในการเรีัยน CNA นั้นประมาณ $1,000 (รวมค่า tuition, ค่าประกัน, และค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น uniform, textbook เป็นต้น) ส่วนค่าตอบแทนนั้นแต่ละรัฐจะมีอัตราต่างกันและขึ้นอยู่กับโรงพยาบาลด้วย ที่ CA จ่ายชม.ละ $ 10-12 (บางแห่งจ่ายถึงชม.ละ $18 ก็มีค่ะ)...

Licensed Practical/Vocational Nurse (LPN หรือ LVN) – ทำงานภายใต้การดูแลของแพทย์และพยาบาล RN, ผ่านการอบรม basic nursing techniques, และสอบผ่าน national licensing examination

การเรียน LVN นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นหลักสูตร 18 เดือน ไม่นับรวมเวลาที่ต้องเรียนวิชาพื้นฐานซึ่งได้แก่:
- Introduction to Anatomy and Physiology
- Mathematics for Health Sciences
- Computer Literacy
- Integrated Reading, Writing, and Critical Thinking
- Introduction to Nutrition
- Medical Terminology

ค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียน LVN นั้น ถ้าเป็นโรงเรียนเอกชนหลักสูตรหนึ่งประมาณ $10,000 ถ้าเป็น Community College ก็ขึ้นอยู่กับหน่วยกิตที่จะต้องลงทะเบียนเรียนตลอดหลักสูตร (ไม่รวมวิชาพื้นฐาน) ไม่เกิน $1,500 ที่ CA หากเป็น residence และลงเรียนใน Community College จ่ายหน่วยกิตละ $26 ถ้าเป็นนักเรียนต่างชาติหน่วยกิตละ $187 อย่างไรก็ตามยังไม่รวมค่า textbook (แพงมาก) ส่วนเมื่อเรียนจบแล้วค่าตอบแทนนั้นที่ CA ประมาณชั่วโมงละ $20 ขึ้นไป

อย่างไรก็ตามหากเรียนจบ LVN และมีประสบการณ์การทำงานอย่างน้อย 1 ปีและเรียนวิชาพื้นฐานครบตาม requirement ก็สามารถสมัครเข้าเรียน RN ได้และใช้เวลาเรียนประมาณ 1 ปี

Registered Nurse (RN, BSN, MSN) – พยาบาล RN ที่จบการศึกษาระดับ Associate’s Degree (RN), ปริญญาตรี Registered Nurse (BSN), หรือปริญญาโท Registered Nurse (MSN), และสอบผ่าน national licensing examination

การเรียน Registered Nurse ในระดับ Associate’s Degree นั้นเป็นหลักสูตร 2 ปี ไม่นับรวมเวลาที่ต้องเรียนวิชาพื้นฐานและต้องได้เกรดเฉลี่ยของวิชาพื้นฐานตามที่กำหนด ซึ่งได้แก่:
- College Composition (มีวิชาพื้นฐานอย่างน้อย 2 วิชา)
- Math for Health Sciences
- Human Anatomy
- Human Physiology
- Introduction to Microbiology
- General Psychology
- Child Development
- และ Pharmacy เป็นต้น

ค่าใช้จ่ายสำหรับหลักสูตร RN (Associate’s Degree) ถ้าเป็นโรงเรียนเอกชนประมาณ $18,000-$20,000 แต่ถ้าเป็น Community College (ไม่รวมวิชาพื้นฐานและ General Education) ประมาณ $2,100 สำหรับ residence หากจบมาแล้วได้ค่าตอบแทนประมาณ $30-40 ต่อชม. ขึ้นอยู่กับรัฐและโรงพยาบาล สำหรับนักเรียนต่างชาติ บางโรงพยาบาลอาจจะ offer “Green Card” ให้ด้วย

การเรียนหลักสูตร RN (Associate’s Degree) นั้น ไม่ได้เรียนเฉพาะวิชาพยาบาลเท่านั้น นักเรียนพบาบาลทุกคนจะต้องเรียนวิชา่บังคับหรือที่เรียกว่า General Education เช่น Political Science, History, Philosophy, PE, Humanity และอื่นๆอีกมากมาย

หมายเหตุ: วิชาพื้่นฐานของ RN และ LVN อาจจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับหลักสูตรของแต่ละสถาบันการศึกษา นอกจากนี้นักเรียนพยาบาลทุกคนจะต้องผ่านการอบรม CPR และได้รับบัตรรับรองว่าเป็นผู้ผ่านการอบรมจาก American Heart Association ด้วย

การเรียน Registered Nurse ในระดับ BSN เป็นหลักสูตร 3 ปี ไม่นับรวมเวลาที่ต้องเรียนวิชาพื้นฐานและต้องได้เกรดเฉลี่ยของวิชาพื้นฐานตามที่กำหนด ซึ่งเพิ่มเติมจาก RN ในระดับ AS Degree อีกอย่างน้อย 3 วิชา คือ:
- Oral Communication
- Philosophy: Critical Thinking
- Chemistry

ค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียน BSN นั้นขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัย แต่ส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็น residence จ่ายแค่ 17% ของค่าเล่าเรียนทั้งหมด (ประมาณ $900++ ต่อ semester) และบางหลักสูตร เช่น ที่ California State University East Bay นั้นทางโรงพยาบาล John Muir เป็น sponsor ให้กับนักเรียนพยาบาลทุกคน (เท่ากับเรียนฟรีเลย แถมจบมาได้ทำงานที่ John Muir อีก)...จบมาค่าตอบแทนก็สูงกว่า RN (Associate’s Degree)

การเรียน Registered Nurse ในระดับ MSN เป็นหลักสูตรปริญญาโท 2 ปีมี 2 ประเภทคือ สำหรับพยาบาลที่จบ BSN และสำหรับคนที่จบปริญญาตรีสาขาอื่นๆ แต่จะเปลี่ยนสายงานมาเป็นพยาบาล เป็นหลักสูตร 2 ปี สำหรับพยาบาลที่จบ BSN ต้องได้เกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.0 จึงจะเข้าเรียนได้ ส่วนคนที่จบสาขาอื่นมาจะต้องไปเรียนวิชาพื้นฐานได้แก่:
- Human Anatomy
- Human Physiology
- Microbiology
- Computer Literacy
- Statistic

บางแห่ง เช่น UCSF ไม่รับนักเรียนต่างชาติ ยกเว้นเป็นนักเรียนที่ถือ Green Card หรือเป็น immigrant แต่จะต้องสอบ TOEFL และ GRE ด้วย ค่าใช้จ่ายตลอดหลักสูตรไม่ต่ำกว่า $20,000 ต่อปี (ไม่รวมวิชาพื้นฐาน) ส่วนใหญ่คนที่จบปริญญาโทพยาบาลมักจะเบนเข็มมาเป็นอาจารย์สอนนักเรียนพยาบาล ดังนั้นค่าตอบแทนอาจจะน้อยกว่าพยาบาล RN และ BSN (ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันค่ะ)

หากสนใจอยากเรียนวิชาชีพพยาบาลในอเมริกา ควรเริ่มต้นจาก:
- หาข้อมูลหลักสูตรต่างๆ ที่สนใจใน “เขต” (County) ที่อยู่ว่ามีเปิดกี่แห่ง ที่ไหนบ้าง? – ควรเรียนใกล้บ้านเพราะอาจจะมีผลในเรื่องของการ commute และ selection criteria
- ติดต่อขอคำปรึกษาจาก counselor ของโรงเรียนนั้นๆ สอบถามข้อมูลเชิงลึกให้ได้มากที่สุดก่อนตัดสินใจ
- สอบถามวิธีคัดเลือก (selection criteria) เข้าเรียนในหลักสูตรพยาบาลของโรงเรียนนั้นๆ
- สอบถามเรื่องวิชาพื้นฐานที่ต้องเรียนทั้งหมด (บางครั้งอาจจะมีวิชาพื้นฐานของวิชาพื้นฐานด้วย)
- นำข้อมูลที่ได้มาเปรียบเทียบดูความแตกต่างของหลักสูตรของแต่ละโรงเรียนทั้งในเรื่องของระยะเวลาในการเรียน, วิชาพื้นฐาน, ระยะเวลาในการเรียนตลอดหลักสูตร (รวมเวลาที่ต้องเรียนวิชาพื้นฐาน) ตลอดจนค่าใช้จ่ายต่างๆ

ข้อควรพิจารณา:
- การสมัครเข้าเรียนหลักสูตรพยาบาลนั้น โดยทั่วไปนักเรียนทุกคนจะต้องผ่าน Assessment Test เพื่อดูว่าพื้นฐานความรู้ด้านภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์อยู่ตรงไหน ก็จะต้องไปเริ่มต้นจากตรงนั้น คือ ถ้าคะแนน AT ออกมาสูงก็สามารถเข้าไปเรียนวิชาพื้นฐานได้เลย แต่ถ้าได้คะแนนต่ำกว่าที่กำหนดอาจจะต้องไปเรียนไต่ระดับขึ้นมา (มากน้อยแล้วแต่ความรู้ความสามารถของแต่ละบุคคล)

- โดยทั่วไปมักจะอนุโลมให้นักเรียนสามารถ transfer วิชาพื้นฐานได้หากเรียนมาไม่เกิน 5 ปี แต่ทางที่ดี “ควรจะ” เรียนใหม่จะดีที่สุด เพราะว่าการ transfer นั้นจะต้องเอา transcript ไปประเมินซึ่งเกรดที่ประเมินอาจจะต่ำกว่าเกรดที่ได้ใน transcript และบางแห่ง “เน้น” ให้ pre-nursing student ลงทะเบียนเรียนวิชา science ที่โรงเรียนนั้นๆ

- วิธีการคัดเลือกก็เป็นอีกข้อหนึ่งที่ควรพิจารณา ถึงแม้ว่าอาชีพพยาบาลจะเป็นอาชีพขาดแคลน แต่การผลิตพยาบาลออกสู่ตลาดนั้นแต่ละหลักสูตรค่อนข้างจะ “จำกัด” จำนวนนักเรียนมากๆ เช่น ที่ LMC รับนักเรียนได้ปีละ 40 คน (จากใบสมัคร 700 คน) การคัดเลือกนักเรียนเข้าเรียนในหลักสูตรนั้นแต่ละสถาบันก็จะมีวิธีการที่แตกต่างกันไป เช่น ดูจากเกรดเฉลี่ย, การให้คะแนนจากผลการเรียน + ประสบการณ์ + ความรู้ด้านภาษาที่ 2, การคัดเลือกจากคนในพื้นที่, หรือใช้วิธี random เป็นต้น

- ควรวางแผนการเรียนไว้อย่างน้อย 2 แผน หากผิดแผนแรกคือ เข้าเรียนที่นี่ไม่ได้ก็ไปเดินอีกทางหนึ่ง

- ควร update ข้อมูลต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ ด้วยการพบ counselor อย่างน้อยเทอมละ 1 ครั้ง และแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเพื่อนๆ ตลอดเวลา การสร้าง network กับคนในสายงานหรือเรียนสายเดียวกันจะทำให้ update ข้อมูลได้เป็นอย่างดี

หากตัดสินใจที่จะเรียนวิชาชีพพยาบาลต้องยอมรับสภาพว่าต่อไปนี้ชีวิตจะไม่เหมือนเดิมแล้วเวลาที่มีจะต้องทุ่มเทให้กับการเรียนและจะต้องเรียนหนักมากๆ (หนังสือก็หนักด้วย) เพราะหากได้คะแนนต่ำกว่าที่เขากำหนด ก็หมดสิทธิ์เรียนต่อทันที...แบบ “แพ้คัดออก”...ไม่มี retake พูดง่ายๆ ได้ใจความคือ “เข้ายาก ออกง่าย”

ถ้าอ่านมาจนถึงตรงนี้แล้วยังอยากเรียนพยาบาลอยู่นะคะ...ก็เริ่มหาข้อมูลเชิงลึกได้เลยค่ะ แต่ถ้าเปลี่ยนใจหรือกลัวเข็มกลัวเลือด ก็อ่านต่อไปนะคะ เพราะว่างานด้าน Health Care นั้นไม่ใช่จะมีแค่ที่เล่ามาทั้งหมดนั้นยังมีอีกมากมายค่ะ และสามารถลงเรียนในหลักสูตรสั้นๆ ได้ค่ะ เช่น
- Medical Assistant
- Medical Transcriptionist
- Certified Medical Assistant (CMA)
- Electrocardiogram (EKG) Technician
- Dental Assistant
- Emergency Medical Technician - Paramedic (EMT-P) เป็นต้น

ทฤษฎีการพยาบาล

เมลลิส (melis 1997:13) ให้ความหมายทฤษฎีว่า เป็นข้อความที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างมโนทัศน์ ทฤษฎีการพยาบาล (nursing theory) เปรียบเสมือนเป็นการสรุปทางความคิดเกี่ยวกับข้อความจริงทางการพยาบาล โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพรรณาปรากฏการณ์ อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างปรากฏการณ์ ทำนายผลที่จะเกิดขึ้น หรือ การควบคุมปรากฏการณ์ทางการพยาบาล

ฟอว์เซท (fawcett 1989) ให้นิยามโดยเน้นที่ปรากฏการณ์ทางการพยาบาล (nursing phenomena) โดยนิยามว่า ทฤษฎีการพยาบาลประกอบด้วยมโนทัศน์ และข้อสันนิษฐาน (proposition) ที่มีความเฉพาะเจาะจงมากกว่าแบบจำลองความคิด ทฤษฎีการพยาบาลจะกล่าวถึงบุคคล สุขภาพ สิ่งแวดล้อม และการพยาบาล และระบุความสัมพันธ์ระหว่างมโนทัศน์ทั้ง 4 ดังกล่าว

จากนิยามดังกล่าว ทฤษฎีการพยาบาลจึงเป็นข้อความแสดงความสัมพันธ์ระหว่างมโนทัศน์ทางการพยาบาลที่พรรณา อธิบาย ทำนาย และควบคุมปรากฏการณ์ทางการพยาบาลเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ

กิจกรรมสำคัญ

กิจกรรมสำคัญของการพยาบาลได้แก่

1.การดูแลให้ความสุขสบาย (care and comfort) ช่วยเหลือบุคคลให้สามารถจัดการกับปัญหาทางสุขภาพและการเจ็บป่วย (health illness continuum) ได้ด้วยตนเอง หน้าที่ของพยาบาลจึงมุ่งที่จะวิเคราะห์ข้อมูลทางการพยาบาล เพื่อให้ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล (assesment and diagnosis)
2.ให้คำแนะนำ คำสอนด้านสุขภาพ (health teaching) เพื่อคงไว้ซึ่งสุขภาพอันดีและส่งเสริมผลการรักษา มุ่งด้านการดูแลตนเอง (self care) ด้วยการส่งเสริมสนับสนุนของสมาชิกในครอบครัว
3.ให้คำปรึกษา (counselling) ด้านสุขภาพอนามัยทั้งในภาวะปกติ และขณะที่มีภาวะกดดัน อันเป็นเหตุให้สุขภาพเบี่ยงเบนไปจากปกติ
4.ให้การดูแลด้านสรีรจิตสังคม (physiopsychosocial intervention) โดยการใช้วิธีการพยาบาลการปฏิบัติ
การพยาบาลของพยาบาลวิชาชีพในปัจจุบัน ได้มีการพัฒนามาเป็นลำดับ ตามการเปลี่ยนแปลงความต้องการด้านบริการสุขภาพของประชาชน และตามความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีวิตคือการพยาบาล

วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

คุณลักษณะพยาบาลที่ผู้รับบริการคาดหวังและพึงพอใจ






คุณลักษณะพยาบาลที่ผู้รับบริการคาดหวัง และพึงพอใจมีผู้ศึกษาไว้มากมาย ซึ่งศึกษาได้จากเอกสาร การสอบถามผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้รับบริการ ประชาชน และจากผลงานวิจัยต่าง ๆ ซึ่งพอจะสรุปได้เป็นประเด็นทางด้านความรู้ ความสามารถ ด้านจริยธรรม และด้านทักษะการปฏิบัติการพยาบาล ดังนี้

จากการศึกษาแนวโน้มในอนาคตด้านการผลิตและการพัฒนากำลังคน สาขาพยาบาลศาสตร์ (กาญจนา สันติพัฒนาชัย และคณะ, 2544) ในประเด็นคุณลักษณะของผู้สำเร็จการศึกษาที่พึงประสงค์ พบว่า ในส่วนการศึกษาคุณลักษณะของผู้สำเร็จการศึกษา หรือบัณฑิตสาขาพยาบาลศาสตร์ที่พึงประสงค์ในปัจจุบันและอนาคตที่ได้มาจากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข และจากหน่วยงานอื่นทั้งในและต่างประเทศ ดังกล่าวข้างต้น จึงสรุปคุณลักษณะของผู้สำเร็จ การศึกษา หรือบัณฑิตสาขาพยาบาลศาสตร์ที่พึงประสงค์ว่าควรมีลักษณะดังนี้
1. ความสามารถด้านการปฏิบัติการพยาบาล
1) มีทักษะความสามารถ ความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติการพยาบาลเป็นอย่างดี เน้นการป้องกัน และ ส่งเสริม สุขภาพ การดูแลสุขภาพชุมชน
2) มีความสามารถในการให้บริการพยาบาลโดยใช้แนวคิด ทฤษฎีการพยาบาล กระบวนการพยาบาล และศาสตร์สาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง

2. ความสามารถด้านวิชาการ
1) มีความสามารถในการคิด ใช้วิจารณญาณและการตัดสินใจในการแก้ปัญหาสุขภาพ
2) มีความคิดริเริ่มปรับปรุงงานให้ทันต่อความก้าวหน้าของวิทยาการและเทคโนโลยี
3) มีความคิด ความสามารถเป็นสากล หรือในเชิงนานาชาติ
4) สามารถคัดกรอง แปล วิเคราะห์ และเลือกใช้ข้อมูล
5) มีความสามารถในการคิดรวบยอด วิเคราะห์ วิจารณ์
6) มีทักษะ ความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเอง ตลอดชีวิตมีความรอบรู้ในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับระบบการบริการสุขภาพ และศาสตร์อื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น ความรู้ด้านประชากรศาสตร์ เศรษฐศาสตร์สาธารณสุข การตลาด ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม ชาติพันธุ์ฯลฯ

3. ความสามารถด้านการบริหาร
มีความสามารถในการเป็นผู้บริหารและการจัดการที่ดีมีความสามารถในการประกันการดูแล คุณภาพของการบริการ

4. ความสามารถด้านการวิจัย
แสวงหาความรู้ใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาศาสตร์ทางวิชาชีพสามารถร่วมทำวิจัยและนำผลการวิจัยมาใช้

5. ความสามารถด้านทักษะเกี่ยวกับมนุษย์และมวลชน
1) สามารถทำงานร่วมกับทีมสุขภาพและบุคคลอื่นได้
2) มีการปรับตัว ยอมรับการเปลี่ยนแปลง เปิดกว้าง รับรู้สิ่งใหม่ ๆ
3) มีความสามารถทางภาษา
4) มีศักยภาพด้านมนุษยสัมพันธ์มีความสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น

6. ความสามารถในการมีส่วนร่วมทางการเมืองและการปกครอง
สามารถคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของสังคมและการเมืองที่มีผลต่อการปฏิบัติการพยาบาลและสนองตอบต่อการเปลี่ยนแปลงได้สนับสนุนหลักการประชาธิปไตย และดำรงตนเป็นพลเมืองดีของสังคม

7. คุณสมบัติด้านคุณธรรม และจริยธรรม
1) มีสมรรถนะให้คำปรึกษาด้านจริยธรรมที่เกี่ยวกับสุขภาพ
2) มีความปรารถนา และพร้อมที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ประชาชน
3) มีค่านิยมร่วมในขนมธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมของสังคม
4) มีคุณธรรม จริยธรรมในด้านส่วนตัว และหน้าที่การงาน
5) มีความจงรักภักดีต่อหน่วยงาน และองค์การ
6) ตระหนักและคำนึงถึงคุณค่าของวิชาชีพและสิทธิมนุษยชนของผู้รับบริการ
7) ใฝ่ดี ธำรงรักษาเอกลักษณ์ไทยที่พึงประสงค์

8. ความสามารถด้านการใช้เทคโนโลยี
เข้าใจและใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมสามารถจัดการและใช้สารสนเทศในด้านต่าง ๆ ได้

9. ความสามารถด้านภาวะผู้นำ
มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงเป็นผู้นำและแหล่งบริการวิชาการที่เกื้อกูล ประโยชน์ต่อสาธารณสุขและสังคม

10. คุณสมบัติด้านบุคลิกภาพ
มีบุคลิกภาพที่เหมาะสมด้านการแต่งกาย อารมณ์และจิตใจ มองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขันมีความสุข

11. คุณสมบัติด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ประหยัด และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าให้ความรู้ รณรงค์ ป้องกันภัยอันตรายต่าง ๆ ที่ผลกระทบต่อสุขภาพ อันเนื่องมาจากสิ่งแวดล้อมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม


และสุดท้ายในการปฏิบัติงานต่างๆ ของพยาบาล หลักฐานชิ้นสำคัญที่จะสามารถบอกถึงความเป็นวิชาชีพของพยาบาล นั่นก็คือ บันทึกทางการพยาบาล พวกเราพยาบาลวิชาชีพทุกท่าน จึงต้องตระหนัก และให้ความสำคัญ โดยต้องพยายามร่วมกันบันทึกสิ่งที่เราได้ปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยอย่างมีคุณภาพนั้นๆ ให้ปรากฏอย่างเด่นชัดในบันทึกทางการพยาบาล เพื่อยืนยันความเป็นวิชาชีพร่วมกับวิชาชีพสาขาอื่นๆ นะค่ะ พบกันใหม่ในตอนหน้านะค่ะ ขอบคุณคะ



หนังสืออ้างอิง
กองการพยาบาล. (2544). การประกันคุณภาพการพยาบาลในโรงพยาบาล: งานบริการพยาบาลผู้ป่วยใน. กรุงเทพ: สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข.
คณะอนุกรรมการจริยธรรม. (2545). แนวทางการส่งเสริมการปฏิบัติการพยาบาลตามจรรยาบรรณวิชาชีพ.กรุงเทพ: สภาการพยาบาล.

หน้าที่หลักทางคลินิกของพยาบาลวิชาชีพ

1. การประเมินผู้ป่วย/ผู้ใช้บริการ (Assessment)
1.1 ประเมินปัญหาและความต้องการของผู้ป่วย/ผู้ใช้บริการอย่างถูกต้องครบถ้วนทันทีที่รับไว้ในความดูแล การติดตามเฝ้าระวังและการประเมินปัญหา/ความต้องการอย่างต่อเนื่องตลอดการดูแล จนกระทั่งจำหน่ายจากการดูแล
1.2 การรวบรวมข้อมูลอย่างครบถ้วนตามมาตรฐานการดูแล/การพยาบาลที่กำหนด และข้อมูลนั้นมีคุณภาพเพียงพอแก่การวินิจฉัยปัญหา การวางแผนการดูแล รวมทั้งเพียงพอต่อการประเมินผลการพยาบาล

2. การจัดการกับอาการรบกวนต่างๆ (Symptom Distress Management) หมายถึง การช่วยเหลือขจัดหรือบรรเทาอาการรบกวนต่างๆ ทั้งอาการรบกวนด้านร่างกายและจิตใจ ได้แก่ อาการที่คุกคามชีวิตและอาการคลื่นไส้อาเจียน นอนไม่หลับ วิตกกังวล กลัว เป็นต้น

3. การดูแลความปลอดภัย (Provision for Patient Safety)
3.1 การจัดการให้ผู้ป่วย/ผู้ใช้บริการได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยทั้งด้านกายภาย ชีวภาพ เคมี รังสี แสงและเสียง โดยมีเป้าหมายเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและการบาดเจ็บต่างๆ เช่น การพลัดตกหกล้ม การบาดเจ็บจากการผูกยึด การบาดเจ็บจากการใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมทั้งการป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล
3.2 การจัดการดูแลอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ และอุปกรณ์จำเป็นที่ใช้เพื่อการรักษาพยาบาลให้มีเพียงพอ พร้อมใช้ในภาวะฉุกเฉิน มีความปลอดภัยในการใช้งานกับผู้ป่วยเพื่อให้สามารถให้การดูแลรักษาผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากอุปกรณ์ไม่พร้อมหรือไม่ปลอดภัย
3.3 การจัดการ การส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่ทุกระดับมีการปฏิบัติงานตามมาตรฐานหรือแนวทางที่กำหนดเพื่อป้องกันความผิดพลาดในการทำงาน

4. การป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นระหว่างรักษาพยาบาล (Prevention of complication) หมายถึง กิจกรรมการพยาบาลใดๆ ที่เป็นไปเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่คาดว่าอาจจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วย แต่ละราย หรือแต่ละกลุ่มโรค/อาการ รวมทั้งการป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากผลข้างเคียงของการรักษาด้วย เช่น การป้องกันอันตรายจากการให้ยาบางชนิด การให้เลือด การให้ออกซิเจน การห้ามเลือด การจำกัดการเคลื่อนไหวผู้ป่วย/อวัยวะด้วยวิธีต่างๆ เป็นต้น

5. การให้การดูแลต่อเนื่อง หมายถึง การจัดการให้เกิดการดูแลต่อเนื่องในผู้ป่วยแต่ละราย ได้แก่ การเฝ้าระวังสังเกตอาการอย่างต่อเนื่อง การส่งต่อแผนการรักษาพยาบาล การประสานงานกับหน่วยงานหรือทีมงานที่เกี่ยวข้อง การสื่อสารเพื่อการส่งต่อผู้ป่วยทั้งการส่งต่อภายในหน่วยงาน ระหว่างหน่วยงานในโรงพยาบาล ระหว่างโรงพยาบาลหรือหน่วยงานภายนอกโรงพยาบาล รวมทั้งการช่วยเหลือกรณีผู้ป่วยเสียชีวิตด้วย

6. การสนับสนุนการดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่วย/ผู้ใช้บริการและครอบครัว หมายถึง กิจกรรมการช่วยเหลือ การสื่อสารเพื่อให้ความรู้ สร้างความเข้าใจ และการฝึกทักษะที่จำเป็นในการดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่วยเกี่ยวกับการเฝ้าระวังสังเกตอาการผิดปกติ การแก้ไขอาการเบื้องต้น การป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ การใช้ยา การปฏิบัติตนตามการรักษา การขอความช่วยเหลือด้านสุขภาพ การปฏิบัติเพื่อการส่งเสริมสุขภาพ และการมาตรวจตามนัดทั้งนี้รวมถึงการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการดูแลสุขภาพอื่นๆ ด้วย เช่น การอธิบายก่อนลงนามยินยอมรักษาพยาบาล หรือก่อนการส่งต่อไปยังสถานพยาบาลแห่งอื่น และการแจ้งข่าวร้ายกรณีผู้ป่วยเสียชีวิต

7. การสร้างความพึงพอแก่ผู้ป่วย/ผู้ใช้บริการ (Enhancement of patient satisfaction) กิจกรรมการพยาบาลบนพื้นฐานของสัมพันธภาพ และการสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ป่วย/ผู้ใช้บริการด้วยบุคลิกภาพที่เหมาะสมโดยเฉพาะเกี่ยวกับการช่วยเหลือเอาใจใส่ การให้ข้อมูลและการตอบสนองความต้องการ/ความคาดหวังของผู้ป่วย/ผู้ใช้บริการอย่างเหมาะสม
สมรรถนะหลักที่จำเป็นของผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ (คณะอนุกรรมการจริยธรรม, 2545)


ผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ ตามความหมายของ พระราชบัญญัติวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ พ.ศ. 2528 และที่แก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2540 นั้น หมายถึง บุคคลซึ่งได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็น ผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ จาก สภาการพยาบาล ซึ่งสภาการพยาบาลได้กำหนดสมรรถนะหลักของผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและผดุงครรภ์ ชั้นหนึ่ง ไว้ดังนี้

สมรรถนะหลักของผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและผดุงครรภ์ ชั้นหนึ่ง

สมรรถนะที่ 1 การปฏิบัติการพยาบาลอย่างมีจริยธรรม ตามมาตรฐาน และกฎหมายวิชาชีพการพยาบาล และการผดุงครรภ์ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
1.1 ประเมินภาวะสุขภาพและความต้องการผู้ใช้บริการอย่างเป็นองค์รวม
1.2 วินิจฉัยการพยาบาล
1.3 วางแผนการพยาบาล
1.4 ปฏิบัติการพยาบาล
1.5 ติดตามการประเมินผลการปฏิบัติการพยาบาล
1.6 จัดการสิ่งแวดล้อมให้มีความปลอดภัย

สมรรถนะที่ 2 ปฏิบัติการผดุงครรภ์อย่างมีจริยธรรม ตามมาตรฐาน และกฎหมายวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
2.1 ประเมินปัญหาและความต้องการผู้ใช้บริการ
2.2 วินิจฉัยการพยาบาลในหญิงตั้งครรภ์
2.3 วางแผนการพยาบาลในหญิงตั้งครรภ์
2.4 บริบาลครรภ์ โดยการรับฝากครรภ์ คัดกรอง และส่งต่อในรายผิดปกติ และประยุกต์หลักการดูแลให้สอดคล้องกับสภาพและวัฒนธรรมของหญิงตั้งครรภ์
2.5 ทำคลอดปกติ
2.6 ตัด และซ่อมแซมฝีเย็บ
2.7 เตรียมและช่วยคลอดกรณีคลอดปกติ
2.8 ส่งเสริมสัมพันธภาพระหว่างบิดา มารดา และทารก ตลอดการตั้งครรภ์ การคลอด และหลังคลอด
2.9 ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
2.10 ดูแลมารดา และทารกที่ปกติ มีภาวะแทรกซ้อน และฉุกเฉิน
2.11 ให้ความรู้ และให้การปรึกษาครอบครัวในการวางแผนครอบครัว และการเตรียมตัว เป็นบิดา มารดา และการดูแลตนเองของมารดาในทุกระยะของการตั้งครรภ์
2.12 ติดตามประเมินผลการปฏิบัติการผดุงครรภ์

สมรรถนะที่ 3 ส่งเสริมสุขภาพบุคคล กลุ่มคน และชุมชน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ สามารถดูแลสุขภาพตนเองได้ในภาวะปกติ และภาวะเจ็บป่วย และลดภาวะเสี่ยงการเกิดโรค และเกิดความเจ็บป่วย
3.1 ให้ความรู้ด้านสุขภาพแก่บุคคล ครอบครัว กลุ่มคน และชุมชน
3.2 สนับสนุนและช่วยเหลือบุคคลครอบครัวและกลุ่มต่างๆ ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ
3.3 ให้ข้อมูลและจัดการช่วยเหลือให้ผู้ใช้บริการได้รับสิทธิด้านสุขภาพ
3.4 จัดการสิ่งแวดล้อม เพื่อความปลอดภัย และส่งเสริมสุขภาพ

สมรรถนะที่ 4 ป้องกันโรคและเสริมภูมิคุ้มกันโรค เพื่อลดความเจ็บป่วยจากโรคที่สามารถป้องกันได้
4.1 เก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับภาวะสุขภาพของชุมชน และการระบาดของโรคในชุมชน
4.2 เสริมสร้างความสามารถในการดูแลตนเองของชุมชนเพื่อป้องกันโรค
4.3 เฝ้าระวัง ค้นหา และสืบสวนโรคที่เกิดในชุมชน
4.4 ให้วัคซีน สร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคแก่ประชาชน

สมรรถนะที่ 5 ฟื้นฟูสภาพบุคคล กลุ่มคน และชุมชนทั้งด้านร่างกาย จิตสังคม เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างเต็มศักยภาพ
5.1 ป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากความเจ็บป่วย
5.2 เลือกใช้วิธีการฟื้นฟูสภาพ
5.3 แนะนำการใช้กายอุปกรณ์ และอวัยวะเทียม
5.4 ให้ความรู้ สนับสนุน ช่วยเหลือ และแนะนำแหล่งประโยชน์ในการฟื้นฟูสภาพอย่างต่อเนื่องแก่ ผู้ใช้บริการ ญาติ และผู้เกี่ยวข้อง
5.5 ประสานกับแหล่งประโยชน์เพื่อฟื้นฟูสุขภาพชุมชน

สมรรถนะที่ 6 รักษาโรคเบื้องต้น ตามข้อบังคับของสภาการพยาบาล
6.1 คัดกรองโรคเบื้องต้น
6.2 วินิจฉัยโรคเบื้องต้น
6.3 รักษาโรคเบื้องต้น
6.4 ให้การผดุงครรภ์ และวางแผนครอบครัว

สมรรถนะที่ 7 สอนและให้การปรึกษาบุคคล ครอบครัว กลุ่มคน และชุมชน เพื่อการมีภาวะสุขภาพที่ดี
7.1 ส่งเสริม สนับสนุน และสอนผู้ใช้บริการให้เกิดการเรียนรู้ และสามารถดูแลสุขภาพตนเอง
7.2 ให้การปรึกษาแก่บุคคล ครอบครัว และชุมชน ที่มีปัญหาทางกาย จิต สังคม ที่ไม่ซับซ้อน
7.3 แนะนำและส่งต่อผู้ใช้บริการที่มีปัญหาสุขภาพที่ซับซ้อน

สมรรถนะที่ 8 ติดต่อสื่อสารกับบุคคล ครอบครัว กลุ่มคน และชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
8.1 ติดต่อสื่อสารและสร้างสัมพันธ์ภาพกับคนทุกเพศ ทุกวัย ทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว กลุ่มคน ชุมชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
8.2 บันทึกและเขียนรายงานได้อย่างถูกต้อง
8.3 นำเสนอความคิด ผลงานต่อสาธารณชน
8.4 ใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการติดต่อสื่อสารในงานที่รับผิดชอบ
8.5 ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการสื่อสาร

สมรรถนะที่ 9 แสดงภาวะผู้นำและการบริหารจัดการตนเอง และงานที่รับผิดชอบได้อย่างเหมาะสม
9.1 มีวิสัยทัศน์ สามารถวางแผน แก้ปัญหา และตัดสินใจ
9.2 รับผิดชอบงานในหน้าที่
9.3 วางแผนและจัดการทรัพยากร และเวลา
9.4 เจรจาต่อรองเพื่อรักษาประโยชน์ของผู้ใช้บริการ และงานที่รับผิดชอบ
9.5 ประสานงานกับผู้ร่วมงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
9.6 พัฒนาคุณภาพของงานอย่างต่อเนื่อง
9.7 จัดการให้ผู้ใช้บริการได้รับการบริการ
9.8 ปฏิบัติงานในฐานะหัวหน้าทีม หรือลูกทีม

สมรรถนะที่ 10 ปฏิบัติการพยาบาลและการผดุงครรภ์ตามจรรยาบรรณวิชาชีพโดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน
10.1 ดูแลผู้ป่วยและผู้ใช้บริการให้ได้รับสิทธิพื้นฐานตามที่สภาวิชาชีพกำหนดไว้ใน "สิทธิผู้ป่วย"
10.2 ปฏิบัติตนตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ ตามที่สภาการพยาบาลกำหนด
10.3 ปฏิบัติการพยาบาลตามมาตรฐานวิชาชีพ ในขอบเขตวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ ตามพระราชบัญญัติวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์
10.4 ประกอบวิชาชีพโดยตระหนักถึงกฎหมาย กฎ ระเบียบ และข้อบังคับต่างๆ ที่เกี่ยว ข้องกับการประกอบวิชาชีพ
10.5 ปฏิบัติการพยาบาลโดยให้ความเสมอภาคต่อทุกกลุ่ม เชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม เศรษฐานะ และภาวะสุขภาพ

สมรรถนะที่ 11 ตระหนักในความสำคัญของการวิจัยต่อการพัฒนาการพยาบาล และสุขภาพ
11.1 มีความรู้เกี่ยวกับระเบียบวิธีวิจัย
11.2 ใช้ผลการวิจัยในการปฏิบัติการพยาบาล
11.3 ให้ความร่วมมือในการทำวิจัย
11.4 คำนึงถึงจรรยาบรรณนักวิจัย และสิทธิมนุษยชน

สมรรถนะที่ 12 ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการพยาบาล
12.1 สืบค้นข้อมูลด้านสุขภาพและความรู้ที่เกี่ยวข้อง
12.2 เลือกใช้ฐานข้อมูลด้านสุขภาพ
12.3 บันทึกข้อมูลสุขภาพ และการปฏิบัติการพยาบาลโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ

สมรรถนะที่ 13 พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างคุณค่าในตนเอง และสมรรถนะในการปฏิบัติการพยาบาล
13.1 มีความคิดสร้างสรรค์ และคิดอย่างมีวิจารณญาณ
13.2 มีความตระหนักในตนเอง และมีความเห็นใจผู้อื่น
13.3 จัดการกับอารมณ์ และความเครียดของตนเอง
13.4 ศึกษาค้นคว้า หาความรู้ ความชำนาญในการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง
13.5 มีความตระหนักในการปกป้อง รักษาสิทธิด้านสุขภาพแก่ประชาชน

สมรรถนะที่ 14 พัฒนาวิชาชีพให้มีความเจริญก้าวหน้า และมีศักดิ์ศรี
14.1 มีทัศนคติที่ดีต่อวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์
14.2 ตระหนักในความสำคัญของการเป็นสมาชิกองค์กรวิชาชีพ
14.3 รู้รักสามัคคีในเพื่อนร่วมวิชาชีพ
14.4 ให้ความร่วมมือ ในการทำกิจกรรมต่างๆ ขององค์กรวิชาชีพ
14.5 ตระหนักในความสำคัญของการสนับสนุนและมีส่วนร่วมในการสอนนักศึกษาและบุคลากรใหม่ในสาขาวิชาชีพ

ขอบเขตและหน้าที่ของพยาบาล

“การพยาบาล" หมายความว่า การกระทำในการช่วยเหลือดูแลผู้ป่วยเพื่อบรรเทาอาการโรคและ/หรือยับยั้งการลุกลามของโรค รวมถึงการประเมินภาวะสุขภาพ การส่งเสริมและฟื้นฟูสุขภาพอนามัยและการป้องกันโรค ทั้งนี้โดยอาศัยหลักวิทยาศาสตร์ และศิลปะการพยาบาล

“การผดุงครรภ์" หมายความว่า การตรวจ การแนะนำและการปฏิบัติต่อหญิงมีครรภ์ ป้องกันและส่งเสริมสุขภาพของมารดา ทารก ความผิดปกติในระยะตั้งครรภ์ ระยะคลอด การทำคลอด รวมทั้งการดูแลมารดา และทารกในระยะหลังคลอด ทั้งนี้โดยอาศัยหลักวิทยาศาสตร

"พยาบาลวิชาชีพ" คือ ผู้สำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรพยาบาลศาสตร์ เพื่อสามารถประกอบอาชีพในด้านบริการสุขภาพอนามัยทั้งในส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือภาคเอกชน
คุณสมบัติ : สำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรพยาบาลศาสตร์และผดุงครรภ์ชั้นสูงเทียบเท่าปริญญาตรี สายการพยาบาลหรือปริญญาบัณฑิต
หน้าที่รับผิดชอบหลัก รับผิดชอบในการให้บริการแก่ผู้ป่วยและผู้รับบริการในโรงพยาบาลหรือชุมชนตามขอบเขตของงาน ซึ่งรวมทั้งการแก้ปัญหาสุขภาพขั้นพื้นฐานและปัญหาการพยาบาลที่ซับซ้อนในการพยาบาลสาขาใดสาขาหนึ่ง ควบคุมนิเทศการปฏิบัติการพยาบาลของพยาบาลเทคนิค และผู้ประกอบโรคศิลปะแผนปัจจุบันชั้นสองโดยมีขอบเขตหน้าที่ทั้งหมดตามกิจกรรม ในรายละเอียดของงานที่ทำ


รวบรวมข้อมูลวิเคราะห์เพื่อวินิจฉัยปัญหาสุขภาพ และปัญหาทางการพยาบาลของผู้รับบริการของครอบครัว และชุมชนได้ทุกระดับ
กำหนดแผนเพื่อจัดบริการพยาบาล วางแผนงาน กำหนดระบบและกระบวนการดำเนินงานนิเทศและประเมินผลงาน รวมทั้งการบริหารงานบุคคลในสายงานพยาบาล ตลอดจนการบริหารทรัพยากรในการดำเนินการพยาบาล
ให้บริการพยาบาลทั่วไปและการพยาบาลเฉพาะโรคได้ทุกระดับปัญหา และทุกระดับความรุนแรงของโรค
สังเกต บันทึก สรุป รายงานอาการเปลี่ยนแปลงและปฏิกิริยาของผู้ป่วย ต่อการรักษาพยาบาลตลอดจนความก้าวหน้าของการรักษาพยาบาล
ให้การผดุงครรภ์ตามสาขาการผดุงครรภ์แผนปัจจุบัน ชั้น 1
ตัดสินแก้ปัญหาทางการพยาบาล
ให้คำแนะนำเพื่อให้เกิดผลดีแก่การพยาบาลและ/หรือ แก่สุขภาพร่างกายและจิตใจของผู้รับบริการได้ทุกระดับและให้ความรู้เกี่ยวกับปัญหา พยาธิสภาพการดำเนินของโรค ตลอดจนแผนการรักษาพยาบาล
ตรวจร่างกาย วินิจฉัยโรคขั้นต้นให้การพยาบาลกลุ่มอาการต่าง ๆ ทั้งทางด้านอายุรกรรม และศัลยกรรม ตามขอบเขตของระเบียบกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 5 (2518)
วางแผนและดำเนินการส่งเสริมสุขภาพในตำแหน่งหัวหน้าทีม ร่วมกับวิชาชีพอื่นในด้านการส่งเสริมสุขภาพชุมชน การอนามัยครอบครัว อนามัยโรงเรียน การสุขศึกษา การวางแผนครอบครัวการโภชนาการและการบริการด้านสุขภาพจิต
วางแผนและมอบหมายงานให้ผู้อยู่ในความรับผิดชอบ และดำเนินการป้องกันโรคโดยให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยและประชาชนโดยทั่วไป การให้ภูมิคุ้มกันโรค การเฝ้าระวังโรค ตลอดจนการร่วมมือในการป้องกันและการควบคุมการแพร่กระจายเชื้อโรคในโรงพยาบาล
ประสานงานและดำเนินการฟื้นฟูสมรรถภาพให้การควบคุมดูแล เกี่ยวกับความปลอดภัยการป้องกัน หรือยับยั้งภาวะทุพลภาพ และพิจารณามอบหมายให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติ
ให้การนิเทศแก่เจ้าหน้าที่ พยาบาลในความรับผิดชอบ
วิเคราะห์ปัญหาและให้ข้อเสนอแนะแนวทางแก้ปัญหาด้านบริการพยาบาลได้
จัดระเบียบงาน แบ่งงาน และมอบหมายหน้าที่ให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน ภายใต้ความรับผิดชอบได้อย่างเหมาะสม
ประเมินผลการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ภายใต้ความรับผิดชอบ รวมทั้งประเมินผลงานของตนเองได้ตามหลักวิทยาศาสตร์
วางแผนป้องกันอุบัติเหตุและให้ความปลอดภัยแก่ผู้ป่วย และผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานรับผิดชอบ
ร่วมวางแผนและกำหนดดำเนินการในงานสาธารณสุขมูลฐานกับบุคคลและหน่วยงานอื่นได้
วางแผนการให้การศึกษาและอบรมฟื้นฟูด้านวิชาการ และดำเนินการสอนแก่เจ้าหน้าที่และนักศึกษาทั้งภายในและภายนอกหน่วยงานได้
จัดทำคู่มือและอุปกรณ์การสอน เพื่อช่วยส่งเสริมสุขภาพและปฏิบัติงานด้านการพยาบาล
สนับสนุนและประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ เช่น งานสังคมสงเคราะห์ งานชันสูตรทางห้องปฏิบัติการ งานเภสัชกรรม

บทบาทหน้าที่และการปฏิบัติงานของพยาบาล

บุคลากรพยาบาล ถือเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับงานการบริการให้กับผู้ป่วย ครอบครัว และชุมชน เนื่องจากพยาบาล เป็นบุคลากรกลุ่มใหญ่ และใกล้ชิดกับผู้รับบริการมากที่สุด การปฏิบัติงานของพยาบาล ถือเป็นลักษณะงานที่แสดงถึงความเป็นวิชาชีพ เนื่องจากมีการนำกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการแก้ไขปัญหา โดยมีเครื่องมือสำคัญที่แสดงถึงความเป็นวิชาชีพ นั่นคือ การปฏิบัติงานโดยใช้กระบวนการพยาบาล การเปรียบเทียบขั้นตอนการปฏิบัติการพยาบาล กับขั้นตอนการแก้ไขปัญหาด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จะเป็นดังนี้คือ

กระบวนการพยาบาล
1. การประเมินสภาพผู้ป่วย
2. การวินิจฉัยทางการพยาบาล
3. การวางแผนการพยาบาล
4. การปฏิบัติการพยาบาล
5. การประเมินผล

กระบวนการแก้ไขปัญหา
1. การสืบค้นข้อมูล/ข้อเท็จจริงเพื่อหาปัญหา
2. การวิเคราะห์/สังเคราะห์ข้อมูลเพื่อกำหนดปัญหา
3. การหาแนวทางการแก้ไขปัญหา
4. การลงมือแก้ไขปัญหา
5. การติดตามประเมินผลของการแก้ไขปัญหา


จะเห็นได้ว่ากระบวนการพยาบาล มีลักษณะที่คล้ายคลึงกับกระบวนการบริหารงาน อันประกอบด้วย การวางแผน การจัดองค์กร การนำองค์กร และการนิเทศ/ติดตามผล ดังนั้นการปฏิบัติงานของพยาบาลวิชาชีพในแต่ละเวร จึงถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในบทบาทของผู้บริหารจัดการการดูแลผู้ป่วยในความรับผิดชอบให้ได้รับการบริการอย่างมีคุณภาพ และมีประสิทธิภาพ



วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

This a nurse



พยาบาล (อาจเรียกว่า นางพยาบาล หรือ บุรุษพยาบาล) เป็นวิชาชีพที่ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วย พยาบาลพบได้ทั่วไปทำงานตามโรงพยาบาล คลินิก หรือสถานพยาบาลอื่น ๆ พยาบาลเป็นวิชาชีพที่ก่อนจะปฏิบัติงานจะต้องผ่านการสอบขึ้นทะเบียนความรู้จากสภาการพยาบาลก่อนจึงจะสามารถปฏิบัติงานได้อย่างสมบูรณ์ โดยพยาบาลสามารถที่จะดูแลผู้ป่วยได้ตามหลักการพยาบาลที่ได้เรียนมา เป็นเวลา 4 ปีสำหรับพยาบาลวิชาชีพ และสถาบันที่เปิดสอนหลักสูตรพยาบาลมีมากมายในประเทศไทยทั้งที่สังกัดกระทรวงสาธารณสุขและเอกชน

พยาบาลในปัจจุบันมักจะสวมชุดพยาบาลที่เป็นสีขาว หรือมีสีขาว และสวมหมวกที่มีลักษณะเฉพาะตัว อย่างไรก็ตาม พยาบาลในบางประเทศ หรือในบางวัฒนธรรมอาจใช้ชุดพยาบาลสีอื่น ๆ